หลายคนที่เป็นมือใหม่เปิดร้านอาหาร อาจจะคิดถึงเรื่องระบบการทำงานร้าน การทำสูตรให้อร่อยเป๊ะ ขอให้ขายได้ขายดี ลูกค้าซื้อซ้ำก่อนเป็นพอ ให้ความสำคัญของ “เรื่องภาษี” เป็นเรื่องท้ายๆ ที่หลายคนคิดถึง
วันนี้ MHA สรุปภาษีฉบับมือใหม่เปิดร้านอาหาร ภาษีเหล่านี้คืออะไร ต้องเก็บเอกสารอะไรเป็นหลักฐานบ้าง ต้องเตรียมเงินเท่าไหร่บ้าง ต้องทำบัญชีอย่างไรบ้าง ต้องจดทะเบียนอะไรบ้าง ให้ผู้ประกอบการมือใหม่ไฟแรง เตรียมตัวเรื่องภาษีตั้งแต่ต้นปี จัดการเรื่องการเงินและการบัญชีให้เป๊ะ!
shutterstock_1376943989.jpg 189.82 KB
1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ภาษีที่จัดเก็บกับบุคคลทั่วไปที่มีรายได้เป็นรายปี ดูจากรายได้ที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างปี ผู้มีรายได้มีหน้าที่ต้องแสดงรายการตามแบบแสดงรายการภาษีที่กำหนด ตามกฎหมายแล้วรายได้ที่มาจากการเปิดร้านอาหารถือเป็น เงินได้ประเภทที่ 8 ซึ่งทำให้ต้องยื่นภาษีทุกครึ่งปี โดยที่
- ครั้งที่1 ยื่นแบบภ.ง.ด.94 ภายในเดือนกรกฎาคม-กันยายน โดยคำนวนจากยอดเงินได้ในเดือนมกราคม - มิถุนายน
- ครั้งที่ 2 ยื่นแบบ ภ.ง.ด.90 ภายในเดือนมีนาคมของปีถัดไป โดยคำนวนจากยอดเงินได้ตลอดเดือนมกราคม-ธันวาคม โดยนำภาษีที่จ่ายในครั้งที่ 1 มาหักออกจากภาษีที่คำนวณจ่ายครั้งที่ 2
ถ้าเราเปิดร้านอาหารโดยที่ไม่ได้จดทะเบียนนิติบุคคล เราต้องเอารายได้จากการขายมาคำนวนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาทุกปี
ในการยื่นภาษีประเภทนี้ ต้องเตรียมหลักฐานที่มารายได้ หลักฐานค่าใช้จ่าย ได้แก่ ใบเสร็จรับเงินต่างๆ สำหรับยื่นเป็นหลักฐานในการหักลดหย่อนภาษีตามจริงด้วย หรือจะเลือกใช้การหักลดหย่อนด้วยอัตราเหมาจ่าย ไม่เกิน 60% ก็ได้ ถ้าไม่อยากยุ่งยากในการเก็บ-การยื่นเอกสารจำนวนมาก
2. ภาษีเงินได้นิติบุคคล
ผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษีนี้คือ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่จดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ และรวมถึงนิติบุคคลอื่นที่ไม่ได้จดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แปลว่า ถ้าเราเปิดร้านอาหารโดยการจดทะเบียนเป็นบริษัท เป็นห้างหุ้นส่วน ห้างร่วมค้า หรือเป็นคณะบุคคล ต้องเสียภาษีตัวนี้ ต่างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตรงที่ ภาษีเงินได้นิติบุคคลจะใช้รอบระยะเวลาบัญชีในการคำนวนและกำหนดเวลาในการยื่นภาษีซึ่งจะเริ่มต้นเมื่อต้นและสิ้นสุดลงเมื่อใดก็ได้ โดยยอดภาษีจะคำนวณจาก กำไรสุทธิคูณด้วยอัตราภาษีที่กำหนด
ร้านอาหารที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจะต้องยื่นแบบชำระภาษีปีละ 2 ครั้งเช่นกัน คือ
- ครั้งแรก ภ.ง.ด.51 เรียกว่าภาษีเงินได้ครึ่งรอบระยะเวลาบัญชี ยื่นภายใน 2 เดือนเมื่อครบ 6 เดือนของรอบระยะเวลาบัญชี
- ครั้งที่สอง ภ.ง.ด.50 เรียกว่าภาษีเงินได้สิ้นรอบระยะเวลาบัญชี ยื่นภายใน 150 วันนับตั้งแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี
ในการยื่นภาษีประเภทนี้ ต้องเตรียมหลักฐานค่าใช้จ่ายของบริษัท ใบภาษีหัก ณ ที่จ่าย ฯลฯ เพื่อนำมาหักลดหย่อน
3. ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT
เป็นการเก็บภาษีจากการขายสินค้า หรือการให้บริการในแต่ละขั้นตอนการผลิต และจำหน่ายสินค้าหรือบริการ ทั้งที่ผลิตภายในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศ โดยปกติและ จะเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา 7% โดยจะบวกเพิ่มลงไปในราคาสินค้าเลย นั่นคือถ้าเราจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เราจะต้องขึ้นราคาอาหารให้ครอบคลุมภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย เพราะต้องไม่ลืมว่า เวลาที่เราซื้อวัตถุดิบ เราก็เสียภาษีมูลค่าเพิ่มให้ซัพพรายเออร์เช่นกัน
shutterstock_1943040376 (1).jpg 16.56 MB
ร้านอาหารที่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ได้แก่
- เป็นผู้ประกอบกิจการที่มีรายได้เกินกว่า 1,800,000 บาท (ก่อนหักค่าใช้จ่าย) โดยต้องยื่นจดทะเบียนภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่มีรายได้เกิน
- เป็นผู้ประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการ ต้องมีการซื้อสินค้า หรือรับบริการที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น การติดตั้งเครื่องจักร ก่อสร้างอาคารสำนักงาน และการก่อสร้างโรงงาน โดยสามารถยื่นคำขอจดทะเบียนภายในกำหนด 6 เดือนก่อนวันเริ่มประกอบกิจการ หรือ
- เป็นผู้ประกอบกิจการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ
ผู้ประกอบการต้องขอใบเสร็จจากซัพพรายเออร์เก็บไว้และทำรายงานภาษีซื้อ รวมถึงต้องออกใบกำกับภาษีให้ลูกค้าและทำรายงานภาษีขาย เพื่อนำมาใช้คำนวณภาษีในแต่ละเดือน เพราะต้องยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นรายเดือน โดยยื่นแบบ ภ.พ. 30 ทุกเดือน ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป ไม่ว่าจะมียอดขายหรือไม่
4. ภาษีหัก ณ ที่จ่าย
เป็นการจัดเก็บภาษีล่วงหน้ากำหนดให้ผู้จ่ายเงินได้มีหน้าที่หักภาษีจากเงินที่จ่ายให้แก่ผู้รับทุกครั้งที่จ่าย ซึ่งการหักภาษีต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนด หลังจากนั้นให้นำเงินส่งกรมสรรพากร
shutterstock_538323685.jpg 265.82 KB
เงินที่ต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย ได้แก่ ค่าเช่า ค่าจ้าง ค่าจ้างทำของ รางวัลจากการชิงโชค ค่าโฆษณา ค่าขนส่ง ค่าบริการ เงินปันผล ในกรณีที่ร้านเรามีลูกจ้าง ต้องทำการหักภาษี ณ ที่จ่าย ถ้าลูกจ้างมีรายได้เกิน 26,000 บาทต่อเดือน เพื่อนำส่งกรมสรรพากรภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป
5. ภาษีป้าย
เป็นภาษีที่จัดเก็บจากป้ายที่แสดงชื่อ ยี่ห้อ หรือเครื่องหมายที่ใช้ในการประกอบการค้า หรือประกอบกิจการอื่นเพื่อหารายได้ หรือ โฆษณาการค้า ตามที่เราเห็นอยู่ตามตึกสูงๆ ท้องถนนรวมถึงป้ายดิจิทัลที่สามารถเคลื่อนไหวได้
shutterstock_1770865601.jpg 238.16 KB
- ลักษณะของป้ายที่ต้องเสียภาษี ได้แก่ ป้ายชื่อ ยี่ห้อ โลโก้ที่ประกอบด้วยอักษร ภาพ ไม่ว่าจะมีขนาดเท่าใดก็ตาม
- ลักษณะของป้ายที่ไม่ต้องเสียภาษี ได้แก่ ป้ายที่ติดในอาคาร ป้ายที่มีล้อเลื่อน (ต้องมีการเลื่อนป้ายเข้าออก) ป้ายตามงานอีเวนท์ที่จัดเป็นครั้งคราว ป้ายของทางราชการ ป้ายของโรงเรียนทั้งรัฐและเอกชน ป้ายวัด สมาคม มูลนิธิ ป้ายที่ติดหรือแสดงไว้ที่รถยนต์ส่วนบุคคลรถจักรยานยนต์ รถบดถนนหรือรถแทรกเตอร์ ป้ายที่ติดตั้งหรือแสดงไว้ที่ยานพาหนะ โดยมีพื้นที่ไม่เกิน 500 ตร.ซม
อัตราภาษีป้าย
- ป้ายที่มีอักษรไทยล้วนมีข้อความที่เคลื่อนที่หรือเปลี่ยนเป็นข้อความอื่นได้ อัตราภาษีป้าย 10 บาท ต่อขนาดป้าย 500 ตร.ซม. ถ้าเป็นป้ายนอกเหนือจากนี้ให้คิดอัตราภาษีป้าย 5 บาท ต่อ 500 ตร.ซม.
- ป้ายที่มีข้อความเป็นอักษรไทยปนกับอักษรต่างประเทศ และ/หรือปนกับภาพ และ/หรือเครื่องหมายอื่น ป้ายที่มีข้อความ เครื่องหมาย หรือภาพที่เคลื่อนที่ หรือเปลี่ยนเป็นข้อความ เครื่องหมาย หรือภาพอื่นได้ ให้อัตราภาษีป้าย 52 บาท ต่อ 500 ตร.ซม. นอกเหนือจากนี้ให้คิดอัตราภาษีป้าย 26 บาท ต่อ 500 ตร.ซม
-ป้ายที่ไม่มีอักษรไทยไม่ว่าจะมีภาพหรือเครื่องหมายใดๆ หรือไม่ และป้ายที่มีอักษรไทยบางส่วน หรือทั้งหมดอยู่ใต้หรือต่ำกว่าอักษรต่างประเทศ ป้ายที่มีข้อความ เครื่องหมาย หรือภาพที่เคลื่อนที่ หรือเปลี่ยนเป็นข้อความ เครื่องหมาย หรือภาพอื่นได้ อัตราภาษีป้าย 52 บาท ต่อ 500 ตร.ซม. นอกเหนือจากนี้ให้คิดอัตราภาษีป้าย 26 บาท ต่อ 500 ตร.ซม.
shutterstock_1553540318 (2).jpg 294.5 KB
ถ้ามีการติดตั้งป้ายใหม่หรือเปลี่ยนแปลงข้อความต้องยื่นแบบ ภ.ป. 1 ภายใน 15 วัน และยื่นเสียภาษีป้ายประจำปี ภายในเดือนมีนาคม ที่สำนักงานเขต เทศบาล หรือองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น ที่ป้ายนั้นติดตั้งอยู่
6. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
เป็นภาษีที่จัดเก็บโดยท้องถิ่น โดยแบ่งประเภทที่ดินออกเป็นกลุ่ม ซึ่งร้านอาหารถือว่าเป็นที่ดินในกลุ่มพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรม คือ การทำประโยชน์ด้านพาณิชยกรรม อุตสาหกรรม อาคารสำนักงาน โรงแรม ร้านอาหาร และอื่น ๆ มีเพดานภาษีสูงสุดอยู่ที่ 1.2% แต่ปัจจุบันให้คงอัตราภาษีไว้อยู่ที่ 0.3-0.7% โดยมีรายละเอียดดังนี้
- ที่ดินมูลค่า 0 – 50 ล้านบาท อัตรา 0.3% หรือล้านละ 3,000 บาท
- ที่ดินมูลค่า 50 – 200 ล้านบาท อัตรา 0.4% หรือล้านละ 4,000 บาท
- ที่ดินมูลค่า 200 – 1,000 ล้านบาท อัตรา 0.5% หรือล้านละ 5,000 บาท
- ที่ดินมูลค่า 1,000 – 5,000 ล้านบาท อัตรา 0.6% หรือล้านละ 6,000 บาท
- ที่ดินมูลค่า 5,000 ล้านบาทขึ้นไป อัตรา 0.7% หรือล้านละ 7,000 บาท
shutterstock_1938796495 (1).jpg 294.66 KB
ถ้าเราเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ร้านอาหารตั้งอยู่เราต้องเสียภาษีตัวนี้ด้วย ซึ่งตามปกติจะมีจดหมายแจ้งประเมินราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พร้อมแจ้งให้เราไปจ่ายกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามที่ตั้งของที่ดินนั้น
7. ภาษีศุลกากร
ถ้าร้านของเรามีการสั่งนำเข้า วัสดุ อุปกรณ์ วัตถุดิบ เครื่องจักร ที่อยู่ในรายการบัญชีภาษีนำเข้า เราต้องจ่ายภาษีศุลกากรด้วย ซึ่งอัตราภาษีของสินค้านำเข้าแต่ละประเภทไม่เท่ากัน ดังนั้นต้องศึกษาเรื่องพิธีการทางศุลกากรและพิกัดภาษีให้เข้าใจก่อนจะนำเข้าวัสดุอุปกรณ์ของร้านจากต่างประเทศ