Articles
สาเหตุของการเกิด Food waste ในร้านอาหาร
อย่างที่เราทุกคนรู้กันดีว่าปัญหาของ Food waste นั้นนอกจากจะกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจในภาพรวมแล้ว ยังส่งผลให้ต้นทุนร้านอาหารสูงขึ้นด้วย ซึ่งโอกาสที่ร้านจะเกิด Food waste นั้นมีมากมาย ตั้งแต่ขั้นตอนการเลือกวัตถุดิบ การจัดเก็บ การตัดแต่งไปจนถึงการปรุงอาหาร หากเราไม่รู้ถึงที่มาและสาเหตุ ก็จะไม่สามารถวางแผนควบคุม Waste ได้เลย ซึ่งโดยปกติ Food waste ที่มักเกิดในร้านอาหารนั้นมาจาก 5 สาเหตุหลัก ๆ ดังนี้ 1. การซื้อวัตถุดิบที่มากเกินไป (Overbuying) Waste ที่เกิดจากการซื้อวัตถุดิบมากเกินไปนั้น มักเกิดจากการขาดการวางแผนการสั่งซื้อ แทนที่ร้านจะมีการคาดการณ์การใช้วัตถุดิบล่วงหน้าจากข้อมูลการขาย กลับสั่งซื้อตามความเคยชินหรือซื้อเผื่อ เพราะกลัวกระทบกับการขาย หากซื้อมาไม่พอกับความต้องการ รวมถึงการซื้อในปริมาณที่มากเพื่อต้องการส่วนลด แต่กลับลืมไปว่าต่อให้ซื้อวัตถุดิบได้ถูกลงแค่ไหน แต่หากวัตถุดิบนั้นหมดอายุก็ถือเป็น Waste ส่งผลให้ต้นทุนวัตถุดิบสูงอยู่ดี การแก้ปัญหาสามารถทำได้โดยคาดการณ์การขายล่วงหน้า ผ่านข้อมูลการขายจากระบบ POS รวมถึงการนับสต๊อกอย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยให้ทางร้านรู้ว่าวัตถุดิบชนิดไหนยังเหลืออยู่ ชนิดไหนใกล้หมด ทำให้สามารถวางแผนการสั่งได้อย่างเหมาะสม อีกวิธีที่เราจะสามารถรู้ว่าต้องสั่งวัตถุดิบเข้ามาในปริมาณเท่าไหร่ในแต่ละครั้งนั้น คือการหา Par Level Inventory หรือการคำนวณปริมาณการใช้วัตถุดิบในแต่ละรอบการสั่ง ซึ่งจะขึ้นอยู่กับสามปัจจัยที่สำคัญคือ ปริมาณวัตถุดิบเฉลี่ยที่ใช้ในแต่ละสัปดาห์ซึ่งได้จากการนับสต๊อกรายสัปดาห์ รอบการส่งวัตถุดิบในแต่ละสัปดาห์ และ ปริมาณวัตถุดิบเผื่อเหลือเผื่อขาด (Safety Stock) 2. วัตถุดิบเน่าเสีย (Spoilage) ต้นเหตุของวัตถุดิบที่เน่าเสียนั้น เกิดได้หลากหลายสาเหตุ ตั้งแต่การรับวัตถุดิบที่ไม่ได้คุณภาพโดยไม่ได้ตรวจสอบ การเก็บรักษาวัตถุดิบที่ไม่ถูกต้อง หรือ การไม่วางแผนการใช้วัตถุดิบที่มาก่อน ทำให้วัตถุดิบหมดอายุ ทั้งที่หลายร้านพยายามใส่ใจกับการซื้อวัตถุดิบในราคาถูก แต่กลับมาสิ้นเปลืองจากการเก็บรักษาวัตถุดิบที่ไม่ดีพอ เมื่อเราได้วัตถุดิบมา ควรมีการแยกการเก็บให้เหมาะสมกับแต่ละประเภทโดยทันที ไม่ใช่นำมาอัดอยู่ในตู้เย็นเข้าด้วยกัน เช่น การนำผักที่ซื้อมาใส่ในกล่องพลาสติกอย่างเหมาะสมแทนที่จะใส่ถุงพลาสติกแล้วอัดอยู่ในตู้เย็น ก็จะช่วยให้ลดโอกาสที่ผักจะช้ำลงไปได้ การใช้หลักการ FIFO ( First in-First out) ในการบริหารวัตถุดิบ ก็จะช่วยให้วัตถุดิบที่ถูกสั่งมาก่อนถูกนำไปใช้ก่อน ซึ่งจะต้องมีการแบ่งพื้นที่วัตถุดิบที่ถูกนำเข้ามาก่อนกับหลังออกจากกันอย่างชัดเจน ไม่เช่นนั้นก็อาจเกิดการปะปนกันได้ การใช้สติ๊กเกอร์สีหรือการแปะวันที่บนวัตถุดิบที่เข้ามาคนละวัน ก็เป็นการช่วยให้พนักงานไม่สับสนได้ นอกจากนี้การตรวจเช็คตู้เย็นอย่างสม่ำเสมอว่าทำอุณหูมิได้ตามที่กำหนดหรือไม่ ก็ช่วยยืดอายุวัตถุดิบไม่ให้หมดอายุก่อนที่ควรจะเป็นได้เช่นกัน 3. การตัดแต่งที่มากเกินไป (Over Trimming) การตัดแต่งวัตถุดิบที่มากเกินไปนั้น อาจฟังดูแล้วไม่น่ากระทบกับ Waste มากมายเท่าไหร่ แต่แท้จริงแล้วถือเป็นจุดที่เกือบทุกร้านละเลย ทำให้สูญเสียวัตถุดิบมากเกินที่ควรจะเป็น ทั้งที่ยังไม่หมดอายุหรือเน่าเสีย สาเหตุหนึ่งก็เพราะทางร้านไม่เคยมีการกำหนดว่าแต่ละวัตถุดิบควรมีการตัดแต่งยังไง ทำให้พนักงานครัวแต่ละคนก็จะตัดแต่งตามความรู้สึกตัวเอง การคำนวณหาค่า Yield(ปริมาณวัตถุดิบที่นำไปใช้ได้) เป็นมาตรฐานและกำหนดวิธีการตัดแต่งในแต่ละวัตถุดิบก็เป็นการช่วยให้พนักงานครัวตัดแต่งได้ตามมาตรฐานของร้าน และช่วยให้ไม่เกิด Waste ที่ไม่จำเป็น อีกวิธีที่ช่วยลด Waste ได้เป็นอย่างดีและช่วยลดภาระงานของพนักงานครัวลงไปด้วย ก็คือการซื้อวัตถุดิบที่ผ่านการตัดแต่งแล้วจากซัพพลายเออร์ ถึงแม้อาจมีต้นทุนที่สูงขึ้นบ้าง แต่หากเทียบกับเวลาและค่าแรงที่ประหยัดลงไปได้ก็อาจคุ้มกว่าในภาพรวม สุดท้ายการนำวัตถุดิบที่ไม่ได้ใช้ (Leftover items) หรือ วัตถุดิบที่ผ่านการตัดแต่ง (Trimmed) เข่น เศษผัก เศษเนื้อ กระดูก มาสร้างเป็นเมนูใหม่ ก็จะช่วยทำให้ยอดขายร้านเพิ่มขึ้นและลด Waste ด้านวัตถุดิบลงไปได้ ยกตัวอย่างเช่น ร้านซูชิที่นำเศษปลาแซลมอนที่ติดกับกระดูกมาทำเป็นเมนูยำแซลมอน หรือหัวปลาแซลมอนที่ถูกตัดทิ้งมาทำเป็นหัวปลาต้มซีอิ๊ว ฯลฯ เรียนรู้วิธีการเก็บวัตถุดิบแต่ละประเภทที่ถูกต้อง และคงคุณภาพวัตถุดิบให้สดใหม่อยู่เสมอ เพื่อยืดอายุการใช้งาน และให้ร้านมีกำไรมากขึ้น ในคอร์สเรียนออนไลน์ฟรี “เทคนิคการจัดเก็บวัตถุดิบอย่างมืออาชีพ” สอนโดย เชฟวิลเมนต์ ลีออง 4. การปรุงอาหารมากเกินไป (Over Production) อีกหนึ่งสาเหตุที่ส่งผลต่อ Food waste ก็คือ การประเมินการขายที่ผิดพลาด ทำให้มีการเตรียมหรือปรุงวัตถุดิบมากเกินความต้องการ แทนที่จะทำทีลออเดอร์ตามที่ลูกค้าสั่ง แต่ทำเผื่อไว้ทีละปริมาณมาก ๆ เพราะคิดว่าทำครั้งเดียวจะประหยัดต้นทุนและเวลามากกว่า หรือโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ร้านอาหารประเภทบุฟเฟ่ต์ที่ต้องมีการเตรียมอาหารก่อนที่ลูกค้าจะมา ทำให้ต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้นทันที เพราะได้รายได้น้อยกว่าที่คาดการณ์ ซึ่งการวิเคราะห์สถิติการขายในแต่ละเมนูต่อวันอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้เชฟสามารถเตรียมอาหารได้พอดีกับความต้องการมากยิ่งขึ้น เพราะต่อให้ต้นทุนอาหารจานนั้นจะถูกแค่ไหน หากลูกค้าไม่เลือกตักหรือเลือกสั่ง ส่งผลให้บางครั้งร้านต้องทำโปรโมชั่นขายในราคาที่ถูกโดยไม่ได้กำไรเพราะกลัวอาหารหมดอายุ 5. การให้ปริมาณที่มากเกินไป (Over Portioning) บางครั้งการเสิร์ฟอาหารในปริมาณที่มากเกินไปให้ลูกค้า อาจไม่ได้เป็นข้อดีเสมอไป เพราะนอกจากลูกค้าจะทานไม่หมดหรือทานมากเกินความพอดีจนไม่สามารถสั่งเมนูอื่นทาน และทำให้ต้นทุนอาหารจานนั้นสูงขึ้นแล้ว รวมถึงยังทำให้อาหารที่เหลือกลายเป็น Waste ที่ต้องทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์ด้วย สาเหตุเพราะร้านไม่ได้มีการกำหนดปริมาณวัตถุดิบต่อจาน หรือ Portion control ไว้ตั้งแต่แรก ทำให้อาหารเมนูเดียวกันที่ออกมาอาจมีปริมาณที่ไม่เท่ากัน ซึ่งนอกจากการกำหนดปริมาณอาหารต่อจาน (Portion control) จะช่วยในการลด Waste แล้ว บุคคลสำคัญที่มีส่วนในการลด Waste นี้ก็คือพนักงานเสิร์ฟ เพราะจะเป็นคนที่เห็นว่าอาหารจานไหนที่ลูกค้าทานไม่หมดบ่อย ๆ หรือวัตถุดิบไหนที่อยู่บนจานแล้วลูกค้าไม่ค่อยทาน ก็สามารถบอกให้เชฟปรับรูปแบบหรือปริมาณให้เหมาะสมได้ อย่างไรก็ดีไม่ว่า Food waste จะเกิดด้วยสาเหตุใดก็ตาม จะเห็นว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้ร้านอาหารสามารถลด Waste ได้ก็คือตัวพนักงานเอง ตั้งแต่ขั้นตอนการสั่งวัตถุดิบ การจัดเก็บ การเตรียม การปรุง ไปจนถึงการเสิร์ฟ ฉะนั้นการเทรนนิ่งพนักงานให้เห็นถึงความสำคัญและวิธีการลด Food waste รวมถึงการติดตามอย่างต่อเนื่อง คือสิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้ร้านสามารถลดโอกาสในการเกิด Food waste ได้อย่างมีประสิทธิภาพ คลิกอ่าน Zero Food Waste Program ลดต้นทุน เพิ่มกำไร เปิดสูตรลับลดขยะอาหาร ประโยชน์จากการจัดการ Food Waste ในร้านอาหาร What is food waste ลดต้นทุน เพิ่มกำไร คุณก็ทำได้! ถ้าเข้าใจ Zero Food Waste สามารถติดตาม Zero Food Waste Program ลดต้นทุน เพิ่มกำไร เปิดสูตรลับลดขยะอาหารผ่านทาง Facebook : แม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี และเว็บไซต์ เพื่อเพิ่ม Know-how เพิ่มไอเดีย เพื่อให้ผู้ประกอบการร้านอาหาร นำไปพัฒนาธุรกิจให้แข็งแกร่งและสามารถ ‘อยู่รอด’ ได้ในสถานการณ์ปัจจุบันได้ และเรียนรู้วิธีลดขยะอาหารซึ่งจะช่วยลดต้นทุน สร้างกำไรให้มากขึ้น กับคอนเทนต์ออนไลน์เกี่ยวกับขยะอาหาร และวิธีการจัดการลดขยะอาหาร
Learn moreร้านคุณก็เสิร์ฟอาหารต้นตำรับได้! สปาเกตตี้ และแกงใต้ ทำง่ายเสิร์ฟเร็ว อร่อยทุกจาน
เชื่อว่าทุกร้านอาหาร ต้องการพัฒนาและปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อสร้างแรงจูงใจ ดึงดูดให้ลูกค้าเข้าร้านให้มากขึ้นอยู่ตลอดเวลา เพราะธุรกิจอาหารเปิดง่ายจึงมีเจ้าของกิจการเกิดขึ้นมาเป็นคู่แข่งใหม่มากมาย ทั้งแบบมีหน้าร้าน และออนไลน์ และยิ่งเมื่อ Delivery เติบโต ร้านอาหารก็ยิ่งเพิ่มจำนวนและเติบโตตามไปด้วย เพราะฉะนั้นร้านการต้องมีการเพิ่มจุดขายให้แตกต่าง อาหารต้นตำรับ เป็นทางเลือกหนึ่งที่จะทำให้ร้านสามารถเพิ่มเมนูใหม่ และเป็นเมนูที่แตกต่างจากร้านอื่นๆ ได้ เมนูต้นตำรับขายดีที่อยากแนะนำนั้นก็คือ สปาเกตตี้ และ อาหารใต้ เมนูยอดฮิตต้นตำรับจากอิตาลี เพิ่มลูกเล่นได้เยอะ และขายได้ราคาดีอย่างสปาเกตตี้ หลากหลายเมนูทั้ง สปาเกตตี้คาโบนาร่าแฮม, สปาเกตตี้ซอสมะเขือเทศหมู, สปาเกตตี้ซอสขี้เมาหมู ซึ่งทุกเมนูง่ายต่อการประกอบอาหาร แค่อุ่นร้อนในไมโครเวฟ หรือต้มน้ำร้อน จากนั้นฉีกซอง เทใส่จาน เพิ่มการตกแต่งเล็กน้อยก็สามารถเสิร์ฟได้ทันที ยังสามารถเพิ่ม Value ให้กับร้านอาหาร โดยสามารถเพิ่มกำไรในเมนูนั้นๆ ได้ด้วยการเพิ่ม Ingredient นิดหน่อย เช่น วางพาดด้วยเบคอนกรอบชิ้นโต ท๊อปปิ้งด้วยไข่ออนเซน ไข่แดง ที่เมื่อผ่าออกไข่แดงก็จะไหลเยิ้มเพิ่มสีสันให้น่ารับประทานมากยิ่งขึ้น ก็เพิ่มราคาให้กับราคาอาหารจานนั้น หรือมากไปกว่านั้น เสิร์ฟคู่กับสเต็กหมู สเต็กแซลมอน อีกสักชิ้น หรือเสิร์ฟคู่กับไส้กรอกเยอรมันสัก 2 ชิ้น ก็กลายเป็นมื้อใหญ่ที่ทำให้ลูกค้าจ่ายได้มากขึ้น เป็นต้น แม็คโครได้คัดสรรเมนูสปาเกตตี้สำเร็จรูป ที่ทำง่าย โดย 1 ซองสินค้าจะพร้อมสำหรับ 1 จานพอดี อร่อยง่าย รสชาติคงที่ ผลิตจากโรงงานได้มาตราฐาน และใช้กระบวนการแช่แข็งอย่างรวดเร็ว เพื่อรักษาและคงคุณภาพของสินค้า ทั้งนี้ยังสามารถเก็บรักษาแบบแช่แข็งได้ 2 ปี ไม่ส่งผลกระทบต่อต้นทุน หรือเสี่ยงต่อการสูญเสีย เหมาะสำหรับผู้ประกอบการร้านอาหารโดยเฉพาะสามารถเลือกซื้อเมนูสปาเกตตี้สำเร็จรูปได้ที่ Makro Click สามารถเลือกซื้อ ARO สปาเกตตี้คาโบนาร่าแฮม ได้ที่ Makro Click สามารถเลือกซื้อ ARO สปาเกตตี้ซอสมะเขือเทศหมู ได้ที่ Makro Click สามารถเลือกซื้อ ARO สปาเกตตี้ซอสขี้เมาหมู ได้ที่ Makro Click แกงใต้เมนูยอดฮิตที่ใครๆ ต่างติดใจในรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ โดดเด่นด้วยความเผ็ดร้อนถึงเครื่องแกงที่จัดจ้าน อาหารใต้ที่เป็นที่รู้จัก นิยมสั่ง และร้านสามารถนำมาเป็นเมนูแนะนำเรียกลูกค้าได้ เช่น แกงเหลืองหน่อไม้ซาบะ แกงไตปลา คั่วกลิ้งหมู ซึ่งทุกเมนูที่กล่าวมานี้ได้มีการทำเป็นเมนูสำเร็จรูปแช่แข็ง เพิ่มความสะดวกสบายให้กับร้านอาหาร ง่ายในการประกอบอาหาร แค่อุ่นร้อนในไมโครเวฟ หรือต้มน้ำร้อน ฉีกซอง เทใส่จาน แกงใต้สำเร็จรูปแช่แข็งจาก Aro คัดสรรวัตถุที่มีคุณภาพ พริกแกงที่ใช้โขลกเองเป็นสูตรลับ สูตรต้นตำรับใต้แท้ๆ จากคนใต้ รสชาติกลมกล่อม มีสีสันน่ารับประทาน เนื้อปลาซาบะและเนื้อหมูนุ่ม มีกลิ่นหอมเครื่องเทศและสมุนไพรของภาคใต้ที่โดดเด่นและเย้ายวนชวนน้ำลายสอ มีมาตรฐานการผลิต สะอาด ปลอดภัย ไม่มีวัตถุกันเสีย สามารถเลือกซื้อ Aro แกงเหลืองหน่อไม้ซาบะแช่แข็ง ได้ที่ Makro Click สามารถเลือกซื้อ Aro แกงไตปลาแช่แข็ง ได้ที่ Makro Click สามารถเลือกซื้อ Aro คั่วกลิ้งหมู ได้ที่ Makro Click ทั้งสปาเกตตี้สำเร็จรูปแช่แข็ง และแกงใต้สำเร็จรูปแช่แข็ง เหมาะกับครัวขนาดเล็กพื้นที่จำกัด ไม่ต้องเพิ่มพนักงานไม่ต้องจ้างแม่ครัวหรือเชฟ พนักงานที่มีอยู่แล้วไม่มีประสบการณ์ในการทำอาหารก็สามารถทำได้เพราะปรุงสำเร็จได้รสชาติที่คงที่ และแน่นอนวา่ได้รสชาติเหมือนต้นตำรับ Tip ร้านของคุณสามารถจัดเป็นเซ็ทอาหาร และแนะนำเป็น Promotion Set ให้กับลูกค้าได้ เช่น สปาเกตตี้ + เค้ก 1 ชิ้น + เครื่องดื่ม 1 แก้ว หรือหากมาเป็นคู่ Set สำหรับ 2 ท่าน สปาเกตตี้ + สเต็ก + สลัด + เค้ก 1 ชิ้น + เครื่องดื่ม 2 แก้ว หากเป็นแกงใต้ แกงใต้ + ของทอด + ข้าวสวย + เครื่องดื่ม 1 แก้ว หรือหากมาเป็นคู่ Set สำหรับ 2 ท่าน แกงใต้ + คั่วกลิ้ง + ของทอด + ข้าวสวย + เครื่องดื่ม 2 แก้ว เป็นการช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจสั่งได้ง่ายขึ้น (แน่นอนว่าสั่งในปริมาณที่มากขึ้นด้วย) และเป็นการเพิ่มการใช้จ่ายต่อบิล ทั้งนี้เพิ่มความเอาใจใส่ลูกค้าด้วยการเสนอการบริการเสิร์ฟเป็นลำดับได้ รับอาหารจานหลักก่อน และค่อยจัดเสิร์ฟเครื่องดื่มหรือขนมหลังจากมื้อหลักก็ได้ ก็จะยิ่งเพิ่มความประทับใจขึ้นอีกขั้น สามารถเรียนรู้การตั้งราคา และการจัดเซ็ทโปรโมชั่นเพิ่มเติมได้จากคอร์สออนไลน์ คอร์ส เทคนิคการตั้งราคาแบบมืออาชีพ เครดิตรูปภาพ : http://mywifeishealthygirl.com
Learn moreFood Waste กับวิถีอาหารไทย
เมื่อพูดถึง Zero Food Waste กับอาหารไทย มีสิ่งที่น่ารู้อยู่หลายเรื่อง ทั้งวิถีฏิบัติดั้งเดิมในวัฒนธรรมอาหารของบ้านเรา ซึ่ง ‘เคารพ’ และใช้วัตถุดิบอย่างรู้ค่า แต่บ่อยครั้งที่เรามักจะพบว่า ผู้ประกอบการร้านอาหารต้องเงินรั่ว ไปกับบางขั้นตอนอย่างน่าเสียดาย วันนี้ ‘เชฟจ๊อบ - ณัฎฐินี ปลอดทอง’ ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารไทย จาก แม็คโครโฮเรก้าอคาเดมี จะมาเล่าถึงการจัดการ Zero Food Waste ในวิถีไทยๆ พร้อมข้อสังเกต และทิปต่างๆ ที่เจ้าของร้านสามารถนำกลับไปทบทวน และปรับใช้ควบคุมกิจการของคุณ ไม่ให้เงินรั่วไหลไปกับขยะอาหาร ซึ่งเราขอคอนเฟิร์มว่ามีประโยชน์กับร้านของคุณอย่างแน่นอน!! “ถ้ามองย้อนกลับไปเราจะพบว่าคนไทยสมัยโบราณใช้วัตถุดิบอย่างรู้ค่า อย่างเนื้อสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อ หมู ไก่ ฯลฯ เรารับประทานและใช้วัตถุดิบแทบทุกส่วนตั้งแต่หัวจรดหาง แม้แต่เครื่องในที่บางชนชาติไม่นิยมกิน คนไทยเราก็ยังกินกัน รวมถึงพืชผักต่างๆ ซึ่งที่ไม่กินก็แค่ปอกเปลือกทิ้งไปเท่านั้น คนไทยเราเคารพและรู้ค่าวัตถุดิบจริงๆ และคนรุ่นใหม่ตั้งแต่ Gen Z รวมถึงผู้ประกอบการรุ่นใหม่ๆ ก็เริ่มตื่นตัวเรื่องขยะอาหารกับสิ่งแวดล้อมกันขึ้นมาแล้วเหมือนกัน” เคารพรู้ค่าวัตถุดิบวิถีไทย 1.กินอาหารอย่างรู้ค่า (respect) กินเนื้อสัตว์ ครบทุกส่วน ตั้งแต่หัวจรดหาง รวมไปถึงเครื่องใน 2.รู้จักวิธีการถนอมอาหาร ไม่ให้เหลือทิ้งและเก็บกินได้นาน เช่น เนื้อเค็ม หมูเค็ม แหนม ปลาร้า ไส้กรอก ผักดอง ฯลฯ นำอาหารเหลือไปแปรรูป เป็นอาหารชนิดอื่น เช่น นำข้าวเก่าที่กินเหลือไปทำเป็นข้าวตัง ฯลฯ “เราอาจจะไม่ได้มีการทำ Zero Food Waste ด้วยการนำเศษผัก หรือ เนื้อสัตว์ไปทำซอสหรือซุปแบบฝรั่งทำซอสหรือทำซุปแบบฝรั่ง แต่นอกจากการถนอมอาหารให้เก็บกินได้นานๆ แล้วคนไทยเราเองก็ยังมีเมนูบางอย่างที่เป็นภูมิปัญญาของคนโบราณ ซึ่งเกิดจากความต้องการไม่ให้อาหารเหลือทิ้ง และใช้จัดการกับอาหารเหลือแทนที่จะปล่อยให้เสียทิ้งไป” 1.แกงโฮะ เป็นภูมิปัญญาในการจัดการกับอาหารเหลือของคนไทยภาคเหนือในสมัยโบราณ เกิดจากนำแกงต่างๆ ที่เหลือมารวมกัน (คำว่า “โฮะ” แปลว่า รวม) เติมบางอย่าง เช่น วุ้นเส้น หน่อไม้ แล้วปรุงรสเพิ่มอีกเล็กน้อย แต่งกลิ่นโดยใส่ใบมะกรูด ตะไคร้ เกิดเป็นแกงชนิดนี้ขึ้นมา 2.แกงส้ม เป็นอาหารไทยอีกจาน ที่สามารถจัดการกับ Food Waste ได้เป็นอย่างดี ปรับใช้กับวัตถุดิบได้หลากหลาย ใช้ได้แม้แต่เปลือกแตงโม เปลือกแคนตาลูป หรือขนาดเปลือกเมล่อนก็ยังสามารถนำไปใช้ได้ “จากประสบการณ์ที่ได้พบกับผู้ประกอบการไทยจำนวนมากพบว่า ผู้ประกอบการหลายๆ รายยังไม่มีการจัดการที่เป็นระบบมากพอ ทำให้เกิดการสูญเสียของวัตถุดิบไปอย่างน่าเสียดาย เริ่มตั้งแต่การจ่ายตลาด ยกตัวอย่างเช่น การซื้อเนื้อสัตว์ หรือ อาหารทะเล บางร้านซื้อมาแล้วขนใส่รถกระบะตากแดดร้อนเปรี้ยงโดยไม่มีการจัดเก็บในกล่องเย็น ก็จะทำให้วัตถุดิบสูญเสียความสดหรือมีอายุที่สั้นลง หรือแม้กระทั่งการจัดเก็บวัตถุดิบในตู้เย็น หลายๆ ร้านก็ใส่ทับซ้อนกันเต็มตู้จนไม่มีอากาศไหลเวียน หรือเบียดทับกันก็ทำให้ผักช้ำเน่าเสียได้ ไปจนถึงขั้นตอนการเตรียมวัตถุดิบซึ่งอาจจะทำให้เสียทิ้ง เช่น การหั่นเนื้อสัตว์ หรือ แล่ปลา ที่ตัดเอาเนื้อทิ้งมากเกินไป นั่นเป็นเหมือนเป็นค่าโง่ที่คุณต้องจ่ายไปกับการดูแลวัตถุดิบไม่ดีและไม่เป็นระบบ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราสามารถแก้ไขได้ด้วยการเข้ามาดูแลว่าพนักงานทำงานในส่วนนี้กันอย่างไร แล้วจัดการวางระบบการทำงานไม่ให้เกิดการสูญเสีย” วิธีแก้ไข วางระบบการทำงาน เพื่อรักษาคุณภาพและความสดใหม่ของวัตถุดิบ ตั้งแต่การจัดซื้อ ขนส่ง จนถึงการจัดเก็บ ไม่ปล่อยให้ด้อยคุณภาพ เสียทิ้งกลายเป็นขยะอาหาร ซึ่งจะทำให้เงินรั่วไหลออกจากกระเป๋า เข้มงวดเและเทรนพนักงานให้มีจรรยาบรรณในการทำงาน ให้ดูแลวัตถุดิบให้ดี ทั้งในขั้นตอนการจัดเก็บ และขั้นตอนการเตรียมวัตถุดิบปรุงอาหาร “ณ จุดหนึ่ง อยากจะให้ผู้ประกอบการลองถามตัวเองกันดูว่าอะไรคือสิ่งที่จำเป็นจริงๆ ยกตัวอย่างกิจการสวนอาหารรุ่นเก่าๆ ที่มักจะมีการจัดแต่งหัวจาน ซึ่งเราจะพบว่า 50% นั้นลูกค้าไม่กิน และบางร้านก็ยิ่งแล้วใหญ่คือใช้ผักเหี่ยวๆ ที่เป็นเศษผักแต่งลงไป ซึ่งทำให้ภาพลักษณ์ของร้านยิ่งดูไม่ดี ลองนึกว่าถ้าคุณต้องแต่งหัวจานแบบนี้ทุกจาน แล้วเสิร์ฟแบบนี้ทุกวันในเดือนหนึ่งคุณจะเงินรั่วไปกับตรงนี้เท่าไหร่ มันใช่สิ่งที่จำเป็นจริงๆ เป็น value ที่ลูกค้าอยากได้จริงๆ หรือเปล่า? เอาเข้าจริงๆ แล้วคุณกำลังทิ้งเงินของตัวเองไปในทุกวันๆ หรือเปล่า?” วิธีแก้ไข ถ้ายังต้องแต่งหัวจานจริงๆ อาจจะเลือกและใช้ในปริมาณที่น้อยลง ลองสังเกตดูว่าอะไรคือสิ่งที่เหลือกลับมา แล้วตัดออก จะหาทางทำให้หัวจานยังดูดีโดยใช้ผักน้อยชนิด ในปริมาณที่ลดลงได้ไหม? ปรับมาใช้จานขนาดพอเหมาะ และดีไซน์ที่สวย และเหมาะสมกับรูปแบบร้าน เพื่อให้ส่งเสริมอาหารแทนที่จะจัดตกแต่งด้วยวัตถุดิบ แล้วปล่อยให้เหลือทิ้ง นอกจากใส่ใจดูแลวัตถุดิบให้ดีตั้งแต่ต้นทาง เพื่อป้องกันไม่ให้วัตถุดิบเสียทิ้ง และเสียค่าโง่ แล้ว เรายังสามารถสร้างคุณค่าไปพร้อมๆ กับการกำจัดขยะอาหาร ซึ่งสิ่งที่เชฟจ๊อบอยากจะชักชวนให้ผู้ประกอบการหันมาใส่ใจกันก็คือ ลองสังเกตดูที่ร้านของคุณว่ามีขยะอาหารอะไรที่เหลือบ้าง แล้วลองคิดดูว่าสามาถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างไร? ตัวอย่าง เปลือกกุ้ง หรือก้างปลาที่แกะ แล้วต้องเสียทิ้งทุกวัน เราสามารถนำมาต้มเป็นน้ำสต็อก เพื่อใช้สำหรับทำต้มยำ ซึ่งจะช่วยชูรสอาหาร ให้อร่อยได้รสธรรมชาติได้โดยไม่ต้องใช้ผงปรุง ในกรณีที่ในแต่ละวันอาจจะมีเศษอาหารเหล่านี้เหลือไม่มากนัก คุณก็ยังสามารถเก็บแช่แข็งรวมเอาไว้จนได้ปริมาณที่เหมาะสม แล้วจึงค่อยนำออกมาใช้ในคราวเดียวกันก็ได้ การนำหัวกุ้ง หรือ หางกุ้ง ที่เหลือจำนวนมาก อาจนำมาทำเป็นเมนูหัวกุ้งทอด เป็นอาหารทานเล่น นอกจากจะลดขยะอาหารแล้ว ยังสามารถเพิ่มยอดขายได้อีกด้วย เมนูยอดนิยมอย่าง “ข้าวผัดสับปะรด” ที่ร้านอาหารนิยมนำเปลือกสับปะรดมาทำภาชนะเพื่อความสวยงาม แต่ส่วนเนื้อนำไปใช้ในข้าวผัดแค่เพียงเล็กน้อย ก็อาจจะต้องต่อยอดนำไปพัฒนาเมนูอื่นๆ บ้าง เช่น ผัดเปรี้ยวหวาน, แกงเหลืองสับปะรด, เค้กสับปะรด เป็นต้น หากแพลนให้ดี หรือแม้แต่เปลือกของแตงโมก็สามารถนำมาปรุงเป็นแกงส้มได้ เป็นการ ‘Re-think’ นำของเหลือที่ร้านมาใช้ประโยชน์เป็นวัตถุดิบและยังสามารถกำจัดขยะอาหารได้ด้วย คลิกอ่าน Zero Food Waste Program ลดต้นทุน เพิ่มกำไร เปิดสูตรลับลดขยะอาหาร ประโยชน์จากการจัดการ Food Waste ในร้านอาหาร What is food waste ลดต้นทุน เพิ่มกำไร คุณก็ทำได้! ถ้าเข้าใจ Zero Food Waste สาเหตุของการเกิด Food waste ในร้านอาหาร สามารถติดตาม Zero Food Waste Program ลดต้นทุน เพิ่มกำไร เปิดสูตรลับลดขยะอาหารผ่านทาง Facebook : แม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี และเว็บไซต์ เพื่อเพิ่ม Know-how เพิ่มไอเดีย เพื่อให้ผู้ประกอบการร้านอาหาร นำไปพัฒนาธุรกิจให้แข็งแกร่งและสามารถ ‘อยู่รอด’ ได้ในสถานการณ์ปัจจุบันได้ และเรียนรู้วิธีลดขยะอาหารซึ่งจะช่วยลดต้นทุน สร้างกำไรให้มากขึ้น กับคอนเทนต์ออนไลน์เกี่ยวกับขยะอาหาร และวิธีการจัดการลดขยะอาหาร นอกจากนี้ยังเรามีกิจกรรมไฮไลท์สำคัญ Zero Food Waste Workshop ซึ่งเป็น Workshop สุดพิเศษ ที่เปิดให้ผู้สนใจเข้าร่วมฟรี ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2563 สามารถติดตามรายละเอียดได้ทาง Facebook : แม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี คลิกอ่านบทความน่ารู้ จากแม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี มือใหม่เปิดร้านอาหาร การจัดการร้านอาหาร การตลาดเพื่อธุรกิจร้านอาหาร บทสัมภาษณ์และรีวิว การเลือกวัตถุดิบและอุปกรณ์ สูตรอาหาร ZERO FOOD WASTE
Learn moreจัดการวัตถุดิบอย่างชาญฉลาด ลด Food Waste ในวิถีญี่ปุ่น
การลดขยะอาหาร ช่วยเซฟทั้งต้นทุน และป้องเงินรั่วไหล และถ้าพูดถึงประเทศที่จัดการกับวัตถุดิบได้อย่างชาญฉลาด ลดขยะอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพสุดๆ แน่นอนว่าประเทศญี่ปุ่น จะต้องได้รับตำแหน่งนี้อย่างแน่นอน วันนี้เชฟป้อ เบญจวรรณ สรรค์เสถียร ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารญี่ปุ่น จากแม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี จะมาบอกเล่าประวัติศาสตร์ที่มาอันน่าสนใจ ไขปริศนาว่าทำไมชาวแดนอาทิตย์อุทัยจึงเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้ พร้อมแนะนำ How-To และยกตัวอย่างไอเดียเมนูลด Food Waste ตามวิถีญี่ปุ่นให้เราดู เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถนำไปปรับใช้ลดขยะอาหารที่ร้านของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ แถมยังจะช่วยลดต้นทุน ลดเงินรั่ว กระตุ้นยอดขายได้อย่างเห็นผลอีกด้วย “ญี่ปุ่นเป็นชาติที่เข้มงวดมากเรื่องการใช้วัตถุดิบอย่างคุ่มค่าโดยไม่ให้เหลือทิ้ง มันอยู่ในวัฒนธรรมของเขาอยู่แล้ว อย่างที่รู้กันว่าประเทศญี่ปุ่นเป็นเมืองหนาว มีฤดูหนาวที่มียาวนาน สามารถปลูกข้าวได้เพียงปีละครั้ง ในสมัยโบราณญี่ปุ่นเคยประสบปัญหาเพาะปลูกไม่เพียงพอต่อความต้องการบริโภค ผู้คนจำนวนมากต้องอดตายกันนับล้าน คนญี่ปุ่นจึงมีความเข้มงวดในเรื่องการใช้วัตถุดิบมาก พวกเขาจึงพยายามใช้วัตถุดิบอย่างคุ้มค่า นี่เป็นสิ่งที่ฝังอยู่ในวัฒนธรรมของเขา” ความแร้นแค้นในสมัยโบราณส่งผลให้คนญี่ปุ่น… 1.รู้จักและแปรรูปและถนอมอาหาร เพื่อให้สามารถเก็บไว้กินได้นานๆ เช่น มิโซะ ผักดอง สาเก ซีอิ๊ว แป้งโมจิ และแป้งชนิดต่างๆ ฯลฯ 2.มีวัฒนธรรมในการใช้วัตถุดิบอย่างรู้ค่า และเข้มงวด ทำให้อาหารเสียทิ้งน้อยที่สุด “เพื่อใช้วัตถุดิบให้คุ้มค่าที่สุด ชาวญี่ปุ่นจะนำอาหารที่ถนอมหรือแปรรูปไว้มาทำอาหารให้เกิดคุณค่าสูงสุด แต่ถ้าเสิร์ฟแค่เมนูเดิมๆ คนกินย่อมจะเบื่อหน่าย คนญี่ปุ่นจึงรู้จักที่จะพลิกแพลงสร้างสรรค์อาหารจากวัตถุดิบที่มีอยู่ ให้มีความแตกต่างหลากหลาย แถมยังบรรจงแต่งให้สวยงามเมื่อจัดวางบนจาน มีศิลปะในการรับประทาน เป็นที่มาของ ‘Food By Eyes’ หรือ ‘อาหารตาที่สวยงาม’ และยังเป็นอาหาร ‘ชุดเทย์โชคุ’ หรืออาหาร Home Made ที่คุณยายหรือคุณแม่ปรุงให้คนในครอบครัวรับประทานด้วยความใส่ใจ ให้มีทั้งความสวยงามน่ากิน และคุณค่าทางโภชนาการอีกด้วย” เทย์โชคุ : อาหารชุดสไตล์โฮมเมด 1.ปรุงอย่างใส่ใจ คำนึงถึงคุณค่าทางโภชนาการ 2.เป็นอาหารชุดที่มีทั้ง จานหลัก เครื่องเคียง และซุป ยืดหยุ่นให้นำวัตถุดิบที่เหลือจากเมื่อวานมาใช้ เช่น ใส่ในซุป หรือปรุงเป็นเครื่องเคียง 3.นอกจากเทย์โชคุจะเสิร์ฟที่บ้านให้คนในครอบครัวกินแล้ว เรายังเห็นได้ว่าร้านอาหารญี่ปุ่นส่วนใหญ่ ก็นิยมเสิร์ฟอาหารเซ็ตแบบนี้ สาเหตุสำคัญก็เพื่อให้ร้านอาหารสามารถยืดหยุ่นใช้วัตถุดิบที่เหลืออยู่มาปรุงเป็นเมนูได้ ซึ่งจะช่วยจัดการวัตถุดิบไม่ให้เหลือทิ้ง และเป็นการสร้าง SALE เพิ่มยอดขายได้อีกด้วย “ในวัฒนธรรมญี่ปุ่นมีอาหารจานเด่นอยู่หลายจาน ที่ชื่อในภาษาญี่ปุ่นมักจะมีคำแปลหรือสื่อความหมายว่า ‘ของชอบ’ แต่เมื่อมองในอีกแง่หนึ่งแล้วจะพบว่า เกิดจากความต้องการจัดการกับวัตถุดิบให้เหลือทิ้งน้อยที่สุด” ตัวอย่างเมนูบริหารวัตถุดิบเหลือฉบับญี่ปุ่น 1.มิโซะซุป (Miso Soup) เป็นอาหารที่สามารถพลิกแพลงปรุงได้หลากหลายมาก ใช้เนื้อสัตว์ และผัก ได้แทบทุกชนิด 2.โอโคโนมิยากิ (Okonomiyaki) หรือพิซซ่าญี่ปุ่น ‘โอโคโนมิ’ แปลว่า ‘ชอบ’ ส่วนยากิแปลว่า ‘ย่าง’ เป็นเมนูยอดนิยมที่สามารถช่วยบริหารวัตถุดิบเหลือได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะแค่นำวัตถุดิบมาผสมแป้งแล้วทอดเป็นแผ่นบนกระทะ โดยใส่ผักและเนื้อสัตว์อะไรลงไปก็ได้ 3.นิโมโนะ (Nimono) หรือของต้มไม่ว่าจะเป็นเนื้อหมู ปลา หรือผักต่างๆ ก็สามารถนำไปต้มแล้วปรุงใส่มิริน ใส่ซีอิ๊ว หรือซอสให้ออกรสหวานหรือเค็ม แล้วนำมาแต่งจานให้สวยงาม 4.สุกี้ยากี้ (Sukiyaki) Suki แปลว่าชอบ ยากิแปลว่าย่างเป็นเมนูที่นำเนื้อมาจี่บนกระทะก่อนแล้วจึงใส่ซอส เพื่อให้มีรสชาติอร่อย แถมยังเป็นเมนูที่ปรับใช้เนื้อสัตว์และผักอะไรก็ได้ที่ชอบมาทำเป็นอาหารอีกด้วย “จะเห็นได้ว่าเมนูทั้ง 4 จานนี้ของญี่ปุ่น เป็นตัวอย่างที่ดีของการยืดหยุ่นนำวัตถุดิบไปจัดการปรุงไม่ให้เหลือทิ้งเป็นขยะอาหารได้อย่างเห็นผล ซึ่งนอกจากจะทำให้แม่บ้านชาวญี่ปุ่นประหยัดค่าใช้จ่ายสำหรับครอบครัวแล้ว จะเห็นว่าร้านอาหารญี่ปุ่นโดยทั่วไปก็นิยมนำเมนูเหล่านี้มาใช้เป็นเมนูภายในร้านเช่นเดียวกัน” “ร้านอาหารหลายๆ ร้าน อาจจะมีลิสต์เมนูประจำที่กำหนด Fix เอาไว้ตายตัว แต่ถ้าเราสังเกตร้านอาหารญี่ปุ่นส่วนใหญ่ให้ดีจะพบว่ามีจำนวนไม่น้อยที่ในแต่ละวันจะมีอาหารพิเศษประจำวัน (Special Dish of The Day) นี่เป็นวิธีหนึ่งที่สะท้อนถึงความฉลาดในการจัดการกับวัตถุดิบที่เหลือของผู้ประกอบการร้านอาหารญี่ปุ่น” โดยเมนูพิเศษนี้อาจจะแถม หรือจัดเป็นโปรโมชั่นลดราคา ก็มีประโยชน์ในหลายด้าน เช่น ช่วยในเรื่องของการยืดหยุ่นใช้วัตถุดิบ ไม่ให้เก่าเก็บจนเสียทิ้ง และหากเป็นจานแถมฟรี Complimentary ก็จะทำให้ลูกค้ารู้สึกพิเศษ และรู้สึกดีกับทางร้าน พอเห็นว่าคุ้มค่าจึงกลับมาใช้บริการบ่อยๆ หรือแม้จะเป็นเมนูอาหารพิเศษประจำวันที่ตั้งราคาขายเอาไว้ถูกกว่าปกติ ก็ยังถือเป็นการทำโปรโมชั่นช่วยเพิ่มยอดขาย เรียกคนเข้าร้าน ทำให้ร้านมียอดขายเพิ่มขึ้น “ดีกว่าปล่อยให้วัตถุดิบเน่าเสียและกลายเป็นขยะอาหารโดยไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ซึ่งร้านอาหารไทยเองอาจจะนำแนวคิดนี้ไปปรับใช้ได้ ยกตัวอย่างร้านอาหารตามสั่งก็อาจจะแถมซุปพิเศษประจำวันให้ หรือ ให้ลูกค้าเพิ่มเงินเพียงเล็กน้อยก็ได้ หรือจะครีเอทเมนูสูตรพิเศษประจำวันอะไรออกมาจากวัตถุดิบที่เหลืออยู่ ก็จะช่วยกระตุ้นยอดขายได้อย่างแน่นอน!” “กิจการร้านอาหารญี่ปุ่นมีความเข้มงวดในเรื่องการจัดการและการใช้วัตถุดิบมาก เพราะการเกิด Food Waste ทำให้สูญเปล่า กลายเป็นเงินที่รั่วไหล ชาวญี่ปุ่นจึงมักวางแผนกันเป็นอย่างดีตั้งแต่ต้น เริ่มตั้งแต่การคิดเมนูอย่างฉลาด ซื้อวัตถุดิบอย่างฉลาด จนไปถึงการจัดการอย่างฉลาด” 1.วางแผนที่ดี (Smart Planning) ผ่านการคิดมาเป็นอย่างดีตั้งแต่ต้น เช่น คอนเซ็ปต์ร้านเป็นอย่างไร อาหารที่ขายคืออะไร มีการคิดกันอย่างละเอียดจนถึงขั้นว่า ใช้โปรตีนกี่อย่าง เนื้อสัตว์แต่ละอย่างและแต่ละส่วนสามารถนำมาพลิกแพลงใช้ทำเมนูอะไรได้บ้าง? วัตถุดิบมีสีอะไรบ้าง เพราะจะส่งผลต่อความสวยงาม 2.ซื้อวัตถุดิบอย่างฉลาด (Smart Buying) ไม่ใช่การซื้อวัตถุดิบได้ถูกจะดีต่อร้านอาหารเสมอไป บ่อยครั้งเราจะพบว่าการยอมเสียเงินแพงกว่านิดหน่อย เพื่อให้ได้ของดีมีคุณภาพ ไม่มีเปอร์เซ็นต์เสียทิ้งเยอะ (ลองนึกถึงกระหล่ำปลีที่ซื้อมาถูกๆ แล้วต้องแกะเปลือกนอกทิ้ง ใช้ได้แค่เพียงครึ่งเดียวดูสิ) นอกจากจะเสียทั้งเงินแล้ว ยังต้องเสียทั้งแรงและเวลาในการจัดการ เสียทรัพยากรในการจัดเก็บ ดังนั้นควรจะซื้อวัตถุดิบจากซัพพลายเออร์ที่ไว้ใจได้ในคุณภาพ และพร้อมที่จะเปลี่ยนสินค้าให้ได้ทันที หากพบว่าของไม่ได้คุณภาพตามต้องการ 3.การจัดการที่ดี (Smart Management) นอกจากวางแผนดีแล้ว ยังต้องมีการจัดการดี เมื่อรู้ว่ามีวัตถุดิบอะไรเหลือ ก็มีลิสต์สูตรของเมนูเตรียมเอาไว้ เพื่อจัดการกับวัตถุดิบเหล่านั้นก่อนที่จะเสียทิ้ง ให้สามารถดึงมาใช้ได้ในทันที รวมถึงมีการตรวจสอบที่ดีเสมอว่ามี Food Waste อะไร จำนวนเท่าไหร่ เกิดขึ้นจากสาเหตุอะไร ในการทำงานขั้นตอนไหน เพื่อให้พนักงานตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา และช่วยกันป้องป้องกันการเกิด Foow Waste ที่จะทำให้เงินรั่วไหล “เมื่อมีการวางแผนที่ดี ซื้อวัตถุดิบอย่างฉลาด การจัดการที่ฉลาด ลงลึกในรายละเอียด รับรองได้เลยว่า เงินของคุณจะไม่รั่วไหลออกไปกับ Food Waste อย่างแน่นอน แล้วอย่าลืมนำแนวคิดการจัดการเพื่อลดขยะอาหารฉบับชาวญี่ปุ่นไปลองปรับใช้กับร้านของคุณดูล่ะ!!” คลิกอ่าน Zero Food Waste Program ลดต้นทุน เพิ่มกำไร เปิดสูตรลับลดขยะอาหาร ประโยชน์จากการจัดการ Food Waste ในร้านอาหาร What is food waste ลดต้นทุน เพิ่มกำไร คุณก็ทำได้! ถ้าเข้าใจ Zero Food Waste สาเหตุของการเกิด Food waste ในร้านอาหาร Food Waste กับวิถีอาหารไทย สามารถติดตาม Zero Food Waste Program ลดต้นทุน เพิ่มกำไร เปิดสูตรลับลดขยะอาหารผ่านทาง Facebook : แม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี และเว็บไซต์ เพื่อเพิ่ม Know-how เพิ่มไอเดีย เพื่อให้ผู้ประกอบการร้านอาหาร นำไปพัฒนาธุรกิจให้แข็งแกร่งและสามารถ ‘อยู่รอด’ ได้ในสถานการณ์ปัจจุบันได้ และเรียนรู้วิธีลดขยะอาหารซึ่งจะช่วยลดต้นทุน สร้างกำไรให้มากขึ้น กับคอนเทนต์ออนไลน์เกี่ยวกับขยะอาหาร และวิธีการจัดการลดขยะอาหาร นอกจากนี้ยังเรามีกิจกรรมไฮไลท์สำคัญ Zero Food Waste Workshop ซึ่งเป็น Workshop สุดพิเศษ ที่เปิดให้ผู้สนใจเข้าร่วมฟรี ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2563 สามารถติดตามรายละเอียดได้ทาง Facebook : แม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี คลิกอ่านบทความน่ารู้ จากแม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี มือใหม่เปิดร้านอาหาร การจัดการร้านอาหาร การตลาดเพื่อธุรกิจร้านอาหาร บทสัมภาษณ์และรีวิว การเลือกวัตถุดิบและอุปกรณ์ สูตรอาหาร ZERO FOOD WASTE
Learn moreขยะอาหารล้นโลก สถิติขยะอาหาร ระดับประเทศและระดับโลก
ขยะอาหาร ก่อให้เกิดปัญหาอะไรตามมาบ้าง ❓ ทำไมผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารจำเป็นต้องแคร์ และมันเกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณอย่างไร ❓ ทำไมคุณจึงควรลุกขึ้นมาจัดการอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ นี่อาจจะเป็นคำถามที่เจ้าของธุรกิจร้านอาหารและผู้ประกอบการโรงแรมหลายๆ คนกำลังสงสัย นอกจากการลดขยะอาหารจะช่วยทำให้คุณลดต้นทุนได้แล้ว ปัญหาขยะอาหารส่งผลให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม ���� ขยะอาหารเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดวิกฤติโลกร้อน ���� ���� จนเกิดเทรนด์ที่ผู้บริโภคทั่วโลก โดยเฉพาะเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ เรียกร้องให้ผู้ประกอบการมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อโลก กลายเป็น ‘Global Trend’ ที่มาแรงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งแม้แต่ในเมืองไทยของเราก็เริ่มมีมูฟเมนต์ให้เห็นกันบ้างแล้ว และเชื่อแน่ว่าจะเป็นกระแสที่มาแรงยิ่งขึ้นและยั่งยืน ✅ ผู้ประกอบการร้านอาหารจึงไม่ควรที่จะมองข้าม เพราะคุณสามารถฉวยโอกาสนี้ปรับตัวเป็นผู้นำกระแส และสามารถใช้ประโยชน์มาเป็นแรงส่งให้ธุรกิจของคุณยิ่ง ‘ปัง’ และประสบความสำเร็จ! แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้น เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจน ขอชวนมาดูสถิติที่น่าตกใจ เกี่ยวกับสถานการณ์ Food Waste กันก่อนดีกว่า���� 1,300 ล้านตัน หรือ 1 ใน 3 ของอาหารที่ถูกผลิตขึ้นเพื่อการบริโภคทั่วโลกในแต่ละปี ถูกทิ้งให้กลายเป็นขยะอาหาร ซึ่งเป็นจำนวนที่มากเกินพอที่จะเป็นอาหารสำหรับประชากรที่หิวโหย 800 ล้านคนทั่วโลก ขณะที่ ร้อยละ 11 ของประชากรโลกต้องเผชิญความอดอยาก โดยในแต่ละปีมีผู้คนถึง 36 ล้านคน ทั่วโลกที่ต้องเสียชีวิตเพราะความหิวโหย ซึ่งนั่นมากกว่าครึ่งของประชากรไทยด้วยซ้ำ และทุกๆ 10 วินาทีจะมีเด็ก 1 คน ตายเพราะกินอาหารไม่เพียงพอ นอกจากนี้ “ขยะอาหาร” ยังเป็นต้นเหตุสำคัญอย่างหนึ่งของภาวะโลกร้อน โดย 8% ของปริมาณก๊าซเรือนกระจก ที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน นั้นมาจากปัญหาขยะอาหาร ซึ่งปล่อยก๊าซมีเทนที่รุนแรงกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์ถึง 14 เท่า!! ดังนั้นกองขยะที่มีปริมาณขยะอาหารมากจะยิ่งเป็นกองขยะที่ปล่อยมลพิษร้ายแรง นอกจากนี้ยังมีปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึงกว่า 3.3 พันล้านตัน ที่เกิดจากขยะอาหารในแต่ละปีทั่วโลก ช่างเป็นตัวเลขที่น่าตกใจจริงๆ อ้างอิง : องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาติ (FAO) UN’s World Population Prospects 2019 สถิติเหล่านี้ช่างน่าตกใจ เพราะมันบอกให้เรารู้ว่า คนไทยทำให้เกิดขยะอาหารในปริมาณที่สูงมาก และสูงมากกว่าประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีประชากรมากกว่าเสียอีก และหากปล่อยให้เกิดพฤติกรรมเช่นเดิมต่อไปคาดสถิติเหล่านี้ต้องสูงขึ้นเป็นแน่ ปัญหาโลกร้อน เป็น ‘Global Trend’ ที่กำลังมาแรง และหลายๆ ฝ่ายต่างช่วยกันแก้ไขสถานการณ์ ซึ่งเมืองไทยของเราเองก็มีร้านอาหารและโรงแรมชั้นนำหลายๆ แห่ง ที่เริ่มมีแอคชั่นกันบ้างแล้ว เช่น ร้านอาหารชื่อดัง Bo.lan , Haoma รวมถึงโรงแรมแบรนด์ชั้นนำอย่างเครือ Marriott เบื้องหลังความสำเร็จที่น่าสนใจอีกส่วนหนึ่งก็มาจากกระแสที่ผู้บริโภคยุคใหม่ ตั้งแต่ Gen Z เป็นต้นมาโดยเฉพาะชาว Millennial เรื่อยมาจนถึง Alpha ต่างให้ความสนใจใส่ใจต่อประเด็นสิ่งแวดล้อม เกิดกระแสเรียกร้องให้ผู้ประกอบการรับผิดชอบต่อสังคม (เพราะพวกเขามีความห่วงใยต่ออนาคตของตนที่ต้องอยู่ในโลกใบนี้) ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้ เป็นกลุ่มลูกค้ายุคใหม่มีทั้งศักยภาพ และกำลังซื้อ ชอบที่จะสนับสนุนกิจการเพื่อสังคม ทั้งยังเป็นเจอเนอเรชั่นที่มีธรรมชาติชอบบอกต่อ ‘Like & Share’ ดังนั้นประโยชน์ที่ผู้ประกอบการ Horeca จะได้รับจากการเข้าร่วมเทรนด์นี้ คือสามารถนำ Zero Food Waste มาใช้ประโยชน์เป็น Marketing Tool หรือเครื่องมือทางการตลาดได้ เพื่อเรียกลูกค้ากลุ่มใหม่ให้เข้ามายังร้าน และยังจะได้รับประชาสัมพันธ์บอกต่อจากสื่อ เพราะมีอิมเมจที่ดีในฐานะกิจการที่รับผิดชอบต่อสังคมสิ่งแวดล้อม นี่จึงเป็น Sustainability Marketing ที่เป็นมาตรฐานใหม่ของการทำธุรกิจในปัจจุบัน และประเด็นสำคัญที่สุดคือเมื่อลงมือทำ Zero Food Waste Management อย่างจริงจัง ยังช่วยคุณลดต้นทุน ทำให้ร้านมีรายได้ และกำไรที่เพิ่มมากขึ้นด้วย!! คลิกอ่าน Zero Food Waste Program ลดต้นทุน เพิ่มกำไร เปิดสูตรลับลดขยะอาหาร ประโยชน์จากการจัดการ Food Waste ในร้านอาหาร What is food waste ลดต้นทุน เพิ่มกำไร คุณก็ทำได้! ถ้าเข้าใจ Zero Food Waste สาเหตุของการเกิด Food waste ในร้านอาหาร Food Waste กับวิถีอาหารไทย จัดการวัตถุดิบอย่างชาญฉลาด ลด Food Waste ในวิถีญี่ปุ่น สามารถติดตาม Zero Food Waste Program ลดต้นทุน เพิ่มกำไร เปิดสูตรลับลดขยะอาหารผ่านทาง Facebook : แม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี และเว็บไซต์ เพื่อเพิ่ม Know-how เพิ่มไอเดีย เพื่อให้ผู้ประกอบการร้านอาหาร นำไปพัฒนาธุรกิจให้แข็งแกร่งและสามารถ ‘อยู่รอด’ ได้ในสถานการณ์ปัจจุบันได้ และเรียนรู้วิธีลดขยะอาหารซึ่งจะช่วยลดต้นทุน สร้างกำไรให้มากขึ้น กับคอนเทนต์ออนไลน์เกี่ยวกับขยะอาหาร และวิธีการจัดการลดขยะอาหาร นอกจากนี้ยังเรามีกิจกรรมไฮไลท์สำคัญ Zero Food Waste Workshop ซึ่งเป็น Workshop สุดพิเศษ ที่เปิดให้ผู้สนใจเข้าร่วมฟรี ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2563 สามารถติดตามรายละเอียดได้ทาง Facebook : แม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี คลิกอ่านบทความน่ารู้ จากแม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี มือใหม่เปิดร้านอาหาร การจัดการร้านอาหาร การตลาดเพื่อธุรกิจร้านอาหาร บทสัมภาษณ์และรีวิว การเลือกวัตถุดิบและอุปกรณ์ สูตรอาหาร ZERO FOOD WASTE
Learn moreประโยชน์ของ Zero Food Waste สำหรับเจ้าของกิจการ พนักงาน ไปจนถึงลูกค้าและสังคม
เจ้าของกิจการบางคน อาจจะยังไม่เชื่อว่าการลดขยะอาหาร จะมีประโยชน์ต่อกิจการของคุณจริงๆ แต่เราขอคอนเฟิร์มอย่างสุดใจว่า การทำ Zero Food Waste Managementมีประโยชน์ต่อร้านของคุณชนิดที่คาดไม่ถึง ✨ ทั้งช่วยเซฟต้นทุน เพิ่มรายได้ ใช้เป็นเครื่องมือทางการตลาด ประชาสัมพันธ์ ช่วยเพิ่มศักยภาพการทำงานของพนักงาน ช่วยให้คุณมอบบริการที่ดีให้กับลูกค้า ตลอดจนถึงเปลี่ยนแปลงทัศนคติที่มีประโยชน์ต่อการใช้ชีวิต ฯลฯ ซึ่งถ้าจะให้แจกแจงกันให้ละเอียดลึกลงไปจริงๆ แล้วละก็ มันมีประโยชน์มากมายทั้งทางตรง และทางอ้อม ต่อเจ้าของกิจการ พนักงาน ลูกค้า จนไปถึงสังคมและโลกใบนี้เลยทีเดียว แต่จะมีอะไรบ้างนั้น ลองตามไปดูกันทีละข้อดีกว่า Zero Food Waste ดีต่อเจ้าของกิจการอย่างไร? ประโยชน์โดยตรงของ Zero Food Waste ต่อเจ้าของร้านอาหาร คือช่วยลดต้นทุนวัตถุดิบ โดยทั่วไปขยะอาหารคิดเป็นสัดส่วนเฉลี่ยประมาณ 4-12 เปอร์เซ็นต์ของต้นทุนวัตถุดิบทั้งหมด ดังนั้นถ้าร้านของคุณมีการจัดการที่ดี ก็จะสามารถเซฟเงินจำนวนนั้นไปได้ หมายถึงรายได้เพิ่มขึ้นตามมาด้วย! แล้วคุณจะปล่อยให้เงินรั่วไหลไปกับขยะอาหารต่อไปได้ยังไง!? การลดขยะอาหารยังมีประโยชน์ทางอ้อมต่อธุรกิจ เป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับร้าน คุณสามารถใช้ Zero Food Waste เป็นเครื่องมือทางการตลาด และประชาสัมพันธ์ฟรี เพราะเทรนด์ร้านอาหารรักษ์โลกกำลังมาแรง เราจะเห็นได้ว่า มีร้านอาหารในแนวนี้ ได้รับการสนับสนุนและตอบรับเป็นอย่างดีจากบรรดาสื่อ และลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่ การหันมาดำเนินการ Zero Food Waste Management ยังช่วยให้คุณนำเสนอสินค้าและบริการที่ดีให้กับลูกค้าได้มากขึ้น ทั้งการเสิร์ฟอาหารที่สดใหม่ (การจัดการหมุนเวียนวัตถุดิบที่ดีทำให้วัตถุดิบสดใหม่อยู่เสมอ) หรือมอบ Complimentary อาหารจานพิเศษ (ที่ปรุงขึ้นเพื่อไม่ให้วัตถุดิบเหลือทิ้งกลายเป็นขยะอาหาร) เมื่อลูกค้ารู้สึกประทับใจกับสินค้าและบริการ รู้สึกว่าร้านของคุณดำเนินกิจการอย่างรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งที่จะได้รับตามมาย่อมคือความรัก และการสนับสนุนในรูปแบบต่างๆ ไม่เพียงเท่านั้น Zero Food Waste Management ยังสามารถปรับเปลี่ยนทัศนคติและวิถีชีวิตให้กับตัวคุณเองอีกด้วย ทำให้คุณใช้ชีวิตอย่างมีสติ และมีเป้าหมายมากขึ้น Zero Food Waste ดีต่อพนักงานอย่างไร? การปรับเปลี่ยนดำเนินงาน Zero Food Waste ในร้านอาหารเป็นประโยชน์ไม่น้อยสำหรับพนักงาน ช่วยให้เรียนรู้วิธีการทำงานใหม่ๆ ทำให้พนักงานมีทักษะในการจัดการกับวัตถุดิบและอาหารได้ดีขึ้น ฝึกความคิดสร้างสรรค์ การคิดวิเคราะห์ ทั้งยังเป็นการเพิ่มพูนความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ ซึ่งนับวันธุรกิจร้านอาหารยิ่งต้องการบุคลากรที่มีความรู้เกี่ยวกับ Zero Food Waste Management มากขึ้นเรื่อยๆ ตามเทรนด์โลก กลายเป็นวิถีการดำเนินธุรกิจแบบ ‘New Normal’ ต่อไปในอนาคต พนักงานจึงสามารถใช้ความรู้ และประสบการณ์ในการดำเนินงาน Zero Food Waste เพื่อให้ได้รับโอกาสก้าวหน้าในหน้าที่การงาน หรือนำความรู้มาต่อยอด หากต้องการทำธุรกิจเปิดร้านของตัวเองในสักวัน สำหรับประโยชน์ทางอ้อม การลดขยะอาหารยังมอบความเปลี่ยนแปลงด้านทัศนคติในการใช้ชีวิตให้กับคนที่ได้เรียนรู้และลงมือทำ การได้มีส่วนช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ช่วยรักษ์โลก มอบความสุขความภูมิใจที่ได้ทำสิ่งดีๆ รู้จักใช้ชีวิตอย่างมีเป้าหมายมากขึ้น และส่งอิทธิพลที่ดีต่อผู้คนรอบข้าง Zero Food Waste ดีต่อลูกค้าอย่างไร? เมื่อจัดการหมุนเวียนใช้วัตถุดิบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลูกค้าจะได้รับประทานอาหารที่สดใหม่ขึ้น แถมยังอาจได้รับผลประโยชน์ในรูปแบบของอาหาร Complimentary (เครื่องเคียงพิเศษประจำวัน อาหารเรียกน้ำย่อย หรือของว่าง) ซึ่งจะสร้างความประทับใจต่อบริการของร้าน นอกจากนี้การได้รับบริการที่ใส่ใจ และการได้อุดหนุนกิจการที่รับผิดชอบต่อสังคมสิ่งแวดล้อม ยังจะทำให้เกิด Loyalty อยากจะสนับสนุนกิจการที่ดีงาม ให้สามารถทำธุรกิจต่อไปได้นานๆ ส่วนประโยชน์ทางอ้อมก็คือการที่ลูกค้าได้มีส่วนร่วมในการสนับสนุนให้เกิดความยั่งยืน รักษาสิ่งแวดล้อมผ่านวิถีการใช้จ่ายกินอยู่ เมื่อสิ่งแวดล้อมดี สุขภาพของทุกคนก็จะดีขึ้นตามไปด้วย Zero Food Waste ดีต่อสังคมและโลกใบนี้อย่างไร? ปัญหาขยะอาหารก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกถึง 8 เปอร์เซ็นต์ และเป็นต้นเหตุของมลพิษมากมาย (ขยะฝังกลบมักทำให้น้ำใต้ดินเป็นพิษด้วยน้ำชะจากพิษ คุณภาพอากาศก็แย่เมื่อขยะเกิดการเผาไหม้ ฯลฯ) ลองนึกดูว่าถ้าหากร้านอาหารทุกแห่งบนโลกร่วมมือกันอย่างจริงจัง เราจะสามารถช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมไปได้มากมายขนาดไหน เมื่อไม่มีขยะให้ต้องกำจัดด้วยการเผาหรือฝังกลบ ยังช่วยลดมลภาวะที่จะเกิดขึ้นแล้วหลุดรอดสู่สิ่งแวดล้อม ทั้งของเสียที่ปนเปื้อนในน้ำ อากาศ แผ่นดิน และทะเลก็จะน้อยลง ทำให้ผู้คนมีสุขภาพที่ดีขึ้น สิ่งแวดล้อมดีขึ้นไม่ว่าจะเป็นในระดับบ้าน ถนน ชุมชน เมือง ประเทศ จนไปถึงระดับโลก ทำให้ผู้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แถมยังเป็นการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เพื่ออนาคตที่ดีของเด็กๆ ลูกหลานของเราเอง ในวันข้างหน้า คลิกอ่าน Zero Food Waste Program ลดต้นทุน เพิ่มกำไร เปิดสูตรลับลดขยะอาหาร ประโยชน์จากการจัดการ Food Waste ในร้านอาหาร What is food waste ลดต้นทุน เพิ่มกำไร คุณก็ทำได้! ถ้าเข้าใจ Zero Food Waste สาเหตุของการเกิด Food waste ในร้านอาหาร Food Waste กับวิถีอาหารไทย จัดการวัตถุดิบอย่างชาญฉลาด ลด Food Waste ในวิถีญี่ปุ่น สามารถติดตาม Zero Food Waste Program ลดต้นทุน เพิ่มกำไร เปิดสูตรลับลดขยะอาหารผ่านทาง Facebook : แม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี และเว็บไซต์ เพื่อเพิ่ม Know-how เพิ่มไอเดีย เพื่อให้ผู้ประกอบการร้านอาหาร นำไปพัฒนาธุรกิจให้แข็งแกร่งและสามารถ ‘อยู่รอด’ ได้ในสถานการณ์ปัจจุบันได้ และเรียนรู้วิธีลดขยะอาหารซึ่งจะช่วยลดต้นทุน สร้างกำไรให้มากขึ้น กับคอนเทนต์ออนไลน์เกี่ยวกับขยะอาหาร และวิธีการจัดการลดขยะอาหาร นอกจากนี้ยังเรามีกิจกรรมไฮไลท์สำคัญ Zero Food Waste Workshop ซึ่งเป็น Workshop สุดพิเศษ ที่เปิดให้ผู้สนใจเข้าร่วมฟรี ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2563 สามารถติดตามรายละเอียดได้ทาง Facebook : แม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี คลิกอ่านบทความน่ารู้ จากแม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี มือใหม่เปิดร้านอาหาร การจัดการร้านอาหาร การตลาดเพื่อธุรกิจร้านอาหาร บทสัมภาษณ์และรีวิว การเลือกวัตถุดิบและอุปกรณ์ สูตรอาหาร ZERO FOOD WASTE
Learn moreขายอาหารเหนื่อย ไม่มีเวลาทำบัญชี แก้ปัญหานี้อย่างไร
หนึ่งในงานที่สำคัญที่สุดของการทำธุรกิจ แต่ก็เป็นงานที่หลายคนไม่ชอบมากที่สุดในเวลาเดียวกัน เห็นจะหนีไม่พ้นเรื่อง “งานบัญชี” หรือ “การทำบัญชี” นั่นเอง โดยเฉพาะธุรกิจร้านอาหารซึ่งมีรายละเอียด มีรายการมหาศาลให้ต้องซื้อ ต้องใช้ในแต่ละวัน ผู้ประกอบการบางท่าน “ไม่มีเวลาทำบัญชี” เพราะเป็นงานละเอียด ต้องใช้เวลา ไว้ช่วงว่าง ๆ ค่อยทำ และผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยไม่เคยมีช่วงว่าง ๆ อย่างที่ว่า งั้นเรามาดูแนวทางการทำบัญชีเบื้องต้นแบบง่าย ๆ ที่รับรองว่าไม่ต้องเสียเวลาไปกับการปวดหัว ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการรู้สถานการณ์รายรับ รายจ่ายของกิจการ ไม่ใช่ “ขายดีทั้งวัน แต่พอนับเงินทำไมเหลือนิดเดียว” พอพูดถึงเรื่องบัญชี ภาพตัวเลขมากมายก็จะปรากฏขึ้นในความคิด ซึ่งจริง ๆ มันไม่ได้ยากอย่างที่คิด มาดูวิธีการทำบัญชีแบบพื้นฐานที่ง่ายสุด ๆ ไม่ต้องใช้เทคโนโลยีอะไรเลย แค่ปากกากับสมุดบัญชี เพราะความสำคัญสิ่งแรกที่ผู้ประกอบการต้องทำ คือ การจัดทำบัญชี รายรับ-รายจ่าย แยกออกเป็นข้อๆ เพื่อง่ายต่อการทำความเข้าใจได้ ดังนี้ 1.บันทึกรายได้จากการขายอาหารประจำวัน นำบิลขายทั้งหมดมาบันทึกลงในสมุดเงินสดรับ ลงรายการรับเงินสด ในกรณีที่ต้องการแยกรายการอาหารแต่ละเมนูว่าวันนี้ขายเมนูไหนได้เท่าไหร่จ่ายรวมเป็นเงินเท่าไหร่ ผู้ประกอบการจะต้องลงรายการใน ใบสรุปยอดขายประจำวัน เพื่อเป็นการแยก รายการอาหารแต่ละเมนู ที่ขายได้ประจำวัน ตัวอย่าง ใบสรุปยอดขายประจำวัน เมื่อบันทึกรายการขายประจำวันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็นำตัวเลขยอดรวมมาบันทึกลงสมุดรายรับ-รายจ่าย มีหน้าตาแบบนี้ ตัวอย่างสมุดรายวันรับ-รายวันจ่าย 2. บันทึกค่าใช้จ่ายประจำวัน เช่น ค่าอาหารสด ค่าอาหารแห้ง ค่าแก๊ส ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเช่าร้าน ค่าแรงพนักงาน และที่สำคัญคือ ค่าแรงตัวเอง ตัวอย่างตารางบันทึกรายจ่ายประจำวัน (* รายการและราคาในตารางสมมติขึ้นเพื่อความเข้าใจในการอ่าน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผู้ประกอบการแต่ละท่าน) จากการบันทีกรายรับ-รายจ่ายข้างต้น จะทำให้เห็นว่าในวันที่ 1/10/2563 มีรายได้จากการขาย 36,800 บาท และมีรายจ่าย 34,700 บาท วันนี้กิจการเหลือกำไร 2,100 บาท เพราะอะไรทำไมถึงเหลือเงินแค่นี้ จากการบันทึกจะเห็นได้ว่า วันนี้ได้จ่ายค่าใช้จ่ายรายเดือนไป คือ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเช่าร้าน นั่นเอง ฉะนั้นในกรณีที่เป็นการบันทึกรายรับ-รายจ่ายในช่วงที่วันนั้นตรงกับรายการจ่ายที่เป็นค่าใช้จ่ายประจำเดือดอย่างค่าเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟ ก็จะต้องหมายเหตุรายการเหล่านี้ไว้ด้วยเนื่องจากเป็นรายการที่ไม่ได้จ่ายเป็นประจำทุกวัน ประโยชน์ของการทำบัญชีรายรับ รายจ่าย ทำให้ผู้ประกอบการได้ทราบถึงการขายในแต่ละวัน ว่ามีรายได้จากการขายเท่าไหร่ วันนี้มีจ่ายค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง เหลือกำไรเท่าไหร่ มีเอกสารอ้างอิงประกอบกับเงินสดที่มีอยู่ในมือ และสามารถนำตัวเลขเหล่านี้มาควบคุมภายในกิจการได้อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น ค่าอาหารทะเลมีความถี่ในการซื้อมากเกินไปหรือไม่ ราคาซื้อคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของราคาขาย เพราะส่วนใหญ่การประกอบธุรกิจร้านอาหาร ต้นทุนอาหาร ไม่ควรเกิน 35-45 เปอร์เซ็นต์ของยอดขาย เห็นมั้ยว่า การทำบัญชีเอาเข้าจริง ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องยาก เริ่มจากพื้นฐานง่าย ๆ แบบนี้ก็สามารถทำให้ผู้ประกอบการทราบสุขภาพกิจการของตัวเองและเห็นเส้นทางการเงินไหลเข้า ไหลออก เพื่อนำไปวิเคราะห์หาสาเหตุเพื่อปรับปรุงให้มีรายรับ และเงินคงเหลือมากขึ้น แต่ถ้าคุณอยากจดบันทึกรายรับ-รายจ่ายแบบมีการแบ่งหมวดหมู่ การเข้ารหัสคีย์ข้อมูลเพื่อบันทึกรายรับรายจ่ายอย่างเป็นระบบในโปรแกรม Excel สามารถเรียนรู้วิธีการใช้และดาวน์โหลดเอกสารได้ฟรี ในคอร์สเรียนออนไลน์บัญชีอย่างง่าย จัดการร้านอาหารได้ด้วยตนเอง ให้คุณบันทึกรับจ่ายอย่างเป็นระบบ ทำเป็นเห็นกำไร (ไฟล์เอกสารสามารถดาวโหลดได้ หลังจากเข้าสู่ระบบที่มุมบนขวามือ และทำการคลิกหลักสูตรบทเรียน) นอกจากนี้ ยังสามารถเรียนรู้ในเรื่องของการจัดระบบต้นทุนและสต๊อกให้ได้กำไรตามเป้า และข้อควรทำและข้อควรระวังในการทำบัญชีและภาษีสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการจำเป็นต้องรู้! คลิกอ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่นี่ เปิดร้านวันนี้กี่เดือนคืนทุน ข้อมูลที่ผู้ประกอบการต้องรู้ ! จำกัดงบกันเจ๊ง ! ด้วยเทคนิควางแผนเงินทุน ก่อนเปิดร้าน เปิดร้านเดือนแรก ตัวเลขติดลบ ! ถอดใจหรือไปต่อ เปิดร้านอาหาร เริ่มต้นส่งภาษีอย่างไร เช็คสถานะด่วน! ร้านคุณเข้าข่าย “วิกฤต” หรือไม่? ด้วยวิธี P&L คลิกอ่านบทความน่ารู้ จากแม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี มือใหม่เปิดร้านอาหาร การจัดการร้านอาหาร การตลาดเพื่อธุรกิจร้านอาหาร บทสัมภาษณ์และรีวิว การเลือกวัตถุดิบและอุปกรณ์ สูตรอาหาร ZERO FOOD WASTE
Learn moreFood waste กับร้านอาหารบุฟเฟ่ต์
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าธุรกิจร้านอาหารแบบบุฟเฟ่ต์นั้น เรียกได้ว่าเป็นประเภทร้านอาหารที่สร้าง Food waste มากที่สุดเทียบกับทุกประเภทร้าน ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะด้วยคอนเซปต์ของร้านที่ลูกค้าสามารถเลือกทานได้ไม่จำกัด (All you can eat) และจุดขายที่สำคัญของร้านบุฟเฟ่ต์หนึ่งเลยก็คือ การนำเสนอความหลากหลายของเมนูและวัตถุดิบ ยิ่งมีเมนูที่หลากหลายและวัตถุดิบราคาแพงเท่าไหร่ ยิ่งเป็นแม่เหล็กดึงดูดลูกค้ามาใช้บริการมากเท่านั้น และปกติต้นทุนวัตถุดิบ (Cost of goods sold) ของร้านอาหารทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 30-35% ของยอดขาย ในขณะที่ร้านบุฟเฟ่ต์จะอยู่ที่ 40-50% นั่นเป็นเพราะปริมาณอาหารที่ลูกค้าทานในร้านบุฟเฟ่ต์เฉลี่ยจะสูงกว่าร้านทั่วไป เพราะลูกค้าจะรู้สึกไม่คุ้มค่าทันทีหากทานอาหารในปริมาณที่เท่ากับการทานปกติ ซึ่ง Food waste โดยปกตินั้นเกิดจากหลายสาเหตุ ตั้งแต่ขั้นตอนการรับวัตถุดิบ การตัดแต่ง การปรุงอาหาร ไปจนถึงการจัดจาน แต่ร้านบุฟเฟ่ต์นั้นมีโอกาสเกิด Food waste ได้มากกว่าร้านอาหารทั่วไป จากการปรุงอาหารเกินกว่าความต้องการของลูกค้า (Over prepared) ทำให้ต้องทิ้งในกรณีที่ร้านบุฟเฟ่ต์เป็นแบบให้ลูกค้าเลือกตักทานเอง (Self service) เช่น ในร้านตามโรงแรมทั่วไป หรือร้านชาบู หมูกระทะที่ให้ลูกค้าเดินมาตักอาหารเอง รวมถึงการที่ลูกค้าทานเหลือในจาน (Left consumed) จากการที่ตักเกินพอดี โดยหากเป็นแต่ก่อนคุณคงไม่ได้ใส่ใจมากนัก ลูกค้าจะทานเหลือแค่ไหนหรือทำอาหารออกมาแล้วลูกค้าไม่เลือกตักก็คงไม่เป็นไร เพราะร้านยังคงขายดี กำไรก็ยังได้ตามที่คาดหวังไว้ แต่หลังจากวิกฤตโควิดที่ผ่านมา ยอดขายร้านเริ่มต่ำลง แต่ต้นทุนยังคงเดิม หากคุณยังบริหารจัดการวัตถุดิบแบบเดิมอยู่ ก็มีโอกาสที่ต้นทุนต่าง ๆ ของคุณจะสูงกว่ารายได้จนเกิดการขาดทุน การลด Food Waste ในร้านบุฟเฟ่ต์จึงเป็นสิ่งที่เจ้าของร้านควรทำเป็นอันดับแรกในช่วงเวลานี้ เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าเศรษฐกิจจะกลับมาเหมือนเดิมอีกนานแค่ไหน และนี่เป็น 4 ขั้นตอนง่าย ๆ ที่เราสามารถนำไปปรับใช้กับร้าน เพื่อลด Food Waste และเพิ่มกำไรให้กับร้านบุฟเฟ่ต์เราได้ การแยกและบันทึก Food Waste ขั้นตอนแรกในการจะลด Food waste ได้ก็คือ การเริ่มต้นบันทึกวัตถุดิบสูญเสียในร้านทั้งหมด ซึ่งโดยปกติ Food waste ในร้านจะเกิดจาก 2 ช่วงหลัก ๆ คือ ก่อนอาหารจะถึงมือลูกค้า และหลังจากลูกค้าทานอาหารเสร็จแล้ว สำหรับ Waste ในช่วงก่อนอาหารถึงมือลูกค้านั้น อาจเกิดตั้งแต่ขั้นตอนการตัดแต่งที่ไม่มีประสิทธิภาพ การเก็บรักษาวัตถุดิบที่ไม่เหมาะสม ไปจนถึงขั้นตอนการปรุงอาหารเกินความต้องการของลูกค้า เราควรทำการแยก Waste สำหรับวัตถุดิบแต่ละชนิดหรือกลุ่มและทำการชั่งน้ำหนักทั้งหมด เพื่อที่คุณจะได้รู้ว่า Waste ทั้งหมดนั้นมาจากวัตถุดิบชนิดไหนและเกิดในขั้นตอนไหนเท่าไหร่ เพราะเมื่อไหร่ที่คุณไม่รู้ว่า Waste เกิดในขั้นตอนไหน คุณจะไม่มีทางวางแผนเพื่อลด Waste ลงได้เลย นอกจากจะบันทึกปริมาณวัตถุดิบที่สูญเสียก่อนถึงมือลูกค้าแล้ว อย่าลืมบันทึกปริมาณอาหารที่เหลือจากการทานของลูกค้าด้วยเพราะจะทำให้คุณรู้ว่า Waste ที่เกิดจากการทานไม่หมดของลูกค้าเป็นสัดส่วนเท่าไหร่ของปริมาณ Waste ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ซึ่งประโยชน์ของการบันทึกปริมาณ Waste ในแต่ละวัตถุดิบและแต่ละกระบวนการนั้น ก็เพื่อเป็นตัวชี้วัดได้ว่า หลังจากปรับกระบวนการเพื่อลด Waste แล้วได้ผลลัพธ์เป็นยังไง 2. สร้างการมีส่วนร่วมในทีม การลดหรือป้องกันการเกิด Food Waste ให้เกิดประสิทธิภาพนั้น ต้องการการมีส่วนร่วมของพนักงานในร้านเป็นอย่างมากทั้งในส่วนของหลังบ้านและหน้าบ้านซึ่งไม่ใช่แค่เป็นแผนระยะสั้น เพราะการลด Waste นั้นไม่สามารถทำให้สำเร็จได้ในระยะเวลาอันสั้นและหากไม่มีการควบคุมและเฝ้าระวังอยู่ตลอดอาจทำให้ Waste นั้นกลับเพิ่มขึ้นมาได้ตลอดเวลา เพราะเมื่อไหร่ที่พนักงานในร้านมองว่า Waste นั้นเป็นปกติของร้านที่ต้องเกิดขึ้นและไม่ใช่หน้าที่ของพนักงานในร้านที่จะต้องควบคุมแล้วนั้น จะไม่มีทางที่ร้านจะลด Food waste ได้เลย ฉะนั้นการสร้างการตระหนักเรื่อง Food waste ให้เกิดเป็นวัฒนธรรมในร้านจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง เพราะพนักงานในร้านคือคนที่อยู่กับวัตถุดิบตลอดเวลา หากมีการให้ความรู้พนักงานถึงความสำคัญของการลด Waste และให้เข้าใจในทิศทางและเป้าหมายเดียวกัน รวมถึงประโยชน์ที่เค้าจะได้รับแล้ว ก็จะทำให้การลด Food waste นั้นเกิดประสิทธิภาพสูงสุดได้ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ การที่ต้องชัดเจนกับทีมงานว่า การเก็บข้อมูล Waste นั้นไม่ใช่การจับผิดหรือเป็นตัวบอกว่าพนักงานขาดประสิทธิภาพ แต่คือการตรวจวัดสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เพื่อหาสาเหตุและไปกำหนดเป้าหมายในการลด Waste ในอนาคตต่อไป ไม่เช่นนั้นอาจเกิดการต่อต้านและไม่ให้ความร่วมมือจากพนักงานได้ และเมื่อไหร่ที่เรื่องนี้กลายเป็นวัฒนธรรมของร้าน พนักงานใหม่ที่เข้ามาก็จะไม่รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่นอกเหนือหน้าที่ที่ต้องทำ แต่เป็นงานประจำที่เราจะต้องทำเป็นปกติทุกวัน 3. ปรับรูปแบบการให้บริการ ต่อให้ร้านจะเป็นบริการแบบบุฟเฟ่ต์ที่ลูกค้าทานเท่าไหร่ก็ได้ เราสามารถปรับรูปแบบการให้บริการบางส่วนเพื่อที่จะลดโอกาสการเกิด Food waste ได้ โดยที่ไม่กระทบต่อการให้บริการหรือประสบการณ์ของลูกค้า เช่น ถ้าร้านเป็นการให้บริการแบบ Self Service ที่ร้านปรุงอาหารเสร็จแล้วให้ลูกค้าต้องเลือกตักอาหารเอง ก็จะยิ่งมีโอกาสเกิด Food waste ได้มากกว่าร้านที่มีบริการแบบ Full service ที่ลูกค้าทำการสั่งอาหารแล้วร้านทำการปรุงอาหารจานต่อจาน (Cook to order) เพราะเท่ากับคุณต้องปรุงอาหารเสร็จเรียบร้อยเพื่อรอลูกค้าเลือกตัก แทนที่จะรอให้ลูกค้าสั่งแล้วร้านค่อยปรุงอาหารทีละจาน ปรับรูปแบบการให้บริการบางส่วนจาก Self Service ที่ปรุงอาหารเสร็จแล้วให้ลูกค้ามาเลือกตัก ลูกค้าสามารถเลือกเมนูแล้วร้านค่อยทำการปรุงออกมาทีละจาน(Cook to order) แล้วไปเสริฟ์ให้ลูกค้าถึงโต๊ะเอง ถึงแม้วิธีนี้อาจทำให้ต้นทุนแรงงานสูงขึ้นบ้าง แต่เราสามารถเลือกเฉพาะเมนูที่มีต้นทุนวัตถุดิบที่สูงหรือมีโอกาสที่วัตถุดิบจะเสียได้ง่าย เช่น อาหารทะเล เป็นต้น นอกจากนี้ประโยชน์ของการปรุงอาหารแบบจานต่อจานยังทำให้ลูกค้าได้รับอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ๆ เหมือนการทานอาหารแบบอะลาคาร์ทด้วย การใช้จานอาหารที่เล็กลงก็มีส่วนที่ทำให้ลดการเกิด Food waste ลงไปได้ เพราะโดยปกติลูกค้าจะตักอาหารมากกว่าความต้องการเสมอ ซึ่งมีโอกาสที่จะทานในจานนั้นไม่หมด การใช้จานอาหารที่เล็กลงก็จะทำให้ลูกค้าเลือกตักอาหารที่ชอบก่อน และจะเดินมาตักอีกรอบหากต้องการทานเพิ่ม 4.การปรับรูปแบบเมนูใหม่ หนึ่งในวิธีการที่เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการลด Waste ก็คือการปรับรูปแบบเมนูใหม่ โดยหลังจากที่ร้านทำการบันทึก Food waste ในแต่ละวัตถุดิบและแต่ละขั้นตอนแล้ว ร้านจะรู้ว่า Waste นั้นเกิดที่กระบวนใดหรือเมนูใด ซึ่งบางครั้งต่อให้เราปรับกระบวนการเตรียมอาหารหรือวิธีการปรุงอาหารใหม่แล้วก็ยังคงเกิด Waste ที่มากอยู่ นั่นอาจเป็นเพราะรูปแบบเมนูที่ยากต่อการควบคุมคุณภาพ ทำให้เสี่ยงต่อคุณภาพต่ำลง เช่น เมนูทอดที่หากทอดทิ้งไว้ระยะเวลานึงอาหารนั้นหมดความกรอบ หรือ การเสิร์ฟวัตถุดิบอาหารทะเลสด เช่น กุ้งแม่น้ำหรือปลาแซลมอนสดที่หากเก็บรักษาเกิน 2-3 วันแล้วคุณภาพวัตถุดิบจะเปลี่ยนไปทันที เหล่านี้ต่อให้ร้านจะใส่ใจในทุกขั้้นตอนแค่ไหนก็มีโอกาสเกิด Waste ได้ตลอดเวลา การเปลี่ยนรูปแบบเมนูไปเลย เช่น เปลี่ยนจากเมนูทอดเป็นเมนูผัด หรือเปลี่ยนจากการเสิร์ฟวัตถุดิบสดเป็นเมนูแบบปรุงสุกก็อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่าแต่ต้องไม่ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าตัวเลือกน้อยลงหรือไม่ดีเท่าเดิม เพราะจะกระทบต่อความรู้สึกของลูกค้าทันที นอกจากนี้ การคิดเมนูใหม่จากวัตถุดิบที่เหลือจากการตัดแต่ง ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยลด Waste ได้อีกทางนึงโดยที่ไม่เป็นการเพิ่มต้นทุนวัตถุดิบด้วย เช่น การนำหัวปลาแซลมอนมาทำเป็นหัวปลาต้มซีอิ๊ว หรือ การนำหนังปลาแซลมอนมาใส่ในสลัดเป็นเมนูสลัดหนังปลาแซลมอนทอดกรอบเป็นต้น และนี่คือ 4 ขั้นตอนที่ร้านอาหารบุฟเฟ่ต์สามารถนำไปปรับใช้ลด Food waste ในร้าน และเป็นการเพิ่มกำไรให้กับธุรกิจได้ สามารถติดตาม Zero Food Waste Program ลดต้นทุน เพิ่มกำไร เปิดสูตรลับลดขยะอาหารผ่านทาง Facebook : แม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี และเว็บไซต์ เพื่อเพิ่ม Know-how เพิ่มไอเดีย เพื่อให้ผู้ประกอบการร้านอาหาร นำไปพัฒนาธุรกิจให้แข็งแกร่งและสามารถ ‘อยู่รอด’ ได้ในสถานการณ์ปัจจุบันได้ และเรียนรู้วิธีลดขยะอาหารซึ่งจะช่วยลดต้นทุน สร้างกำไรให้มากขึ้น กับคอนเทนต์ออนไลน์เกี่ยวกับขยะอาหาร และวิธีการจัดการลดขยะอาหาร คลิกอ่านบทความน่ารู้ จากแม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี มือใหม่เปิดร้านอาหาร การจัดการร้านอาหาร การตลาดเพื่อธุรกิจร้านอาหาร บทสัมภาษณ์ร้านอาหาร ฉลาดซื้อ ฉลาดใช้ ในการเลือกวัตถุดิบและอุปกรณ์ สูตรอาหาร
Learn moreลดต้นทุน เพิ่มกำไร เปิดสูตรลับลดขยะอาหาร
ทุกอย่างที่อยู่บนจานของลูกค้า ล้วนเป็นเงิน ต้นทุน กำไรทั้งนั้น แต่ทำไมผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อย #ปล่อยให้มีขยะอาหารเหลือทิ้ง ❓ ยิ่งขยะอาหารเยอะเท่าไหร่ ย่อมหมายถึงรายได้และผลกำไรของคุณที่จะต้องเสียไปด้วย���� และยิ่งในสถานการณ์ยุค New Normal รายได้ลดลง จึงจำเป็นมากที่ต้อง #ความคุมค่าใช้จ่าย สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามก็คือ #ค่าวัตถุดิบ ซึ่งมีร้านอาหารที่ทิ้ง ‘ขยะอาหาร’ ไปจำนวนไม่น้อย นั่นหมายถึงค่าใช้จ่ายที่สูญเปล่า⚠️ นอกจากนี้ สถานการณ์วิกฤตโลกร้อน���� รวมถึงวิกฤตขยะอาหารซึ่งเป็นปัญหาสำคัญระดับโลก ปฏิเสธไม่ได้ว่าธุรกิจร้านอาหารและโรงแรมควรมีส่วนรับผิดชอบต่อการแก้ไขปัญหานี้ จึงจุดประกายให้ แม็คโครโฮเรก้าอคาเดมี จัดทำ Zero Food Waste Program ✨ ลดต้นทุน เพิ่มกำไร เปิดสูตรลับลดขยะอาหาร ✅เพิ่ม Know-how เพิ่มไอเดีย เพื่อให้ผู้ประกอบการร้านอาหาร นำไปพัฒนาธุรกิจให้แข็งแกร่งและสามารถ ‘อยู่รอด’ ได้ในสถานการณ์ปัจจุบันได้ ✅เรียนรู้วิธีลดขยะอาหารซึ่งจะช่วยลดต้นทุน สร้างกำไรให้มากขึ้น กับคอนเทนต์ออนไลน์เกี่ยวกับขยะอาหาร และวิธีการจัดการลดขยะอาหาร เช่น ⚠️ สถิติอันน่าตกใจเกี่ยวกับขยะอาหารทั้งในระดับโลกและเทศไทย ⚠️ ประโยชน์ของการจัดการขยะสำหรับสำหรับเจ้าของธุรกิจ จนไปถึงลูกค้า และพนักงาน ⚠️ การจัดการ Food Waste ในร้านอาหารญี่ปุ่น ⚠️ การจัดการ Food Waste ฉบับร้าน Buffet ⚠️ Food Waste กับวิถีอาหารไทย ⚠️ Food Waste กับวิถีอาหารตะวันตก ⚠️ การวางแผนลดขยะอาหารที่เหมาะสม นอกจากนี้ยังเรามีกิจกรรมไฮไลท์สำคัญ ‘Zero Food Waste Workshop’ ซึ่งเป็น #Workshop_สุดพิเศษ_ที่เปิดให้ผู้สนใจเข้าร่วมฟรี ✨ ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2563 สามารถติดตามรายละเอียดได้ทาง Facebook แม็คโครโฮเรก้าอคาเดมี การจัดการขยะอาหารจะไม่ใช่เรื่องที่ยากอีกต่อไป..หากคุณรู้วิธีการ แถมยังรับรองว่าจะมีประโยชน์สุดๆ ช่วยเซฟทั้งต้นทุน และมีกำไรเข้าร้านมากขึ้นด้วย สถิติเกี่ยวกับขยะอาหารที่น่าตกใจในระดับโลกและประเทศไทย ขยะอาหารก่อให้เกิดปัญหาอะไรตามมาบ้าง ทำไมผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารจำเป็นต้องแคร์? เมื่อเทรนด์ร้านอาหารรักษ์โลกกำลังมาแรงแบบสุดๆ และผู้บริโภคยุคใหม่ต่างเรียกร้องให้ผู้ประกอบการรับผิดชอบต่อสังคม ถ้าอยากใช้ประโยชน์จากเทรนด์รักษ์โลกที่กำลังมาแรง นำพาให้ลูกค้าที่มีศักยภาพและมีกำลังซื้อกลุ่มนี้เดินเข้าร้าน นี่คือจุดเริ่มต้นที่จำเป็นต้อง ‘เปลี่ยน’ ทำความรู้จักกับการใช้ Zero Food Waste เป็นเครื่องมือทางการตลาด ขยะอาหารจริงๆ แล้วคืออะไร? หลายคนอาจจะเคยคิดว่า Zero Food Waste คือการทำให้ขยะอาหารเหลือเป็นศูนย์หรือไร้ขยะโดยสิ้นเชิง ซึ่งดูเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ แต่จริงๆ แล้วสิ่งสำคัญอยู่ที่การลดขยะอาหารในจุดที่ยอมรับได้ สำหรับผู้ประกอบการร้านอาหาร สิ่งที่คุณจะได้รับคือการเสียเงินซื้อวัตถุดิบในจำนวนและต้นทุนที่น้อยลง แต่สามารถเสิร์ฟให้ลูกค้าอิ่มและมีความสุขได้เท่าเดิม แถมเมื่อมีขยะอาหารเหลือทิ้งลงถังน้อยลง เผลอๆ ยังจะทำให้มีกำไรมากขึ้นอีกด้วย! พร้อม 5 หลักการเบื้องต้นเกี่ยวกับการจัดการลดขยะอาหาร การจัดการขยะอาหารมีประโยชน์เป็นอย่างมาก สำหรับเจ้าของธุรกิจ จนไปถึงลูกค้า และพนักงาน ไม่เพียงแต่เจ้าของร้านจะสามารถลดต้นทุนของวัตถุดิบ และสร้างรายได้ที่มากขึ้นแล้ว ยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับร้านของคุณด้วยว่าเป็นกิจการที่รับผิดชอบสังคม เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รู้จักวิธีใช้การลดขยะอาหารเป็นเครื่องมือการตลาด และ Free PR ที่สร้างความสนใจจากสื่อ เป็นการสร้าง ‘Word of Mouth’ หรือการประชาสัมพันธ์แบบปากต่อปาก เพื่อดึงลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ เข้ามาสู่ร้าน ฯลฯ เรียนรู้วิธีการสร้างแรงจูงใจให้กับพนักงานในการร่วมมือ และเต็มใจที่จะเปลี่ยนมาช่วยคุณดำเนินการลดขยะอาหาร ทั้งลูกค้ายังจะได้รับประทานอาหารสดใหม่ มีความสุขที่ได้ร่วมรักษ์โลก รู้จักกับปัจจัยหลักๆ ที่ทำให้ร้านอาหารส่วนใหญ่สร้างขยะอาหารเกินความจำเป็น ไม่ว่าจะเป็น ‘Spoilage’ การที่อาหารเน่าเสีย ซึ่งเกิดจากการจัดเก็บไม่ดี หรือวางแผนการซื้อมามากเกิน ‘Over Trimming’ การหั่นวัตถุดิบที่ทำให้เสียทิ้ง ‘Over Cooking’ การทำอาหารมากเกินความพอดีจนทำให้เหลือ และการจัดจานแบบ ‘Over Portioning’ ให้ใหญ่โตเกินความต้องการของลูกค้า ซึ่งเป็นปัจจัยหลักๆ ที่ควรวางแผนจัดการให้ดี เมื่อรู้วิธีการที่จะควบคุมปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ ย่อมจะหมายถึงขยะอาหารที่น้อยลง รวมถึงต้นทุน และรายรับที่เพิ่มขึ้นของกิจการของคุณด้วย ประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจและทำให้ญี่ปุ่นเป็นประเทศสุดยอดในการจัดการลดขยะอาหาร รู้จักกับวัฒนธรรมอาหารแบบ ‘เทย์โชขุ’ (Teishoku) อาหารชุดที่จัดเตรียมอย่างสวยงาม พิถีพิถัน แสดงออกถึงความห่วงใยและใส่ใจเหมือนคนในครอบครัว การรับประทานอาหารแบบเป็นเซ็ตนี้นอกจากจะคำนึงถึงสุขภาพ และความสมดุลตามหลักโภชนาการแล้ว ยังเป็นตัวอย่างที่ดีของการจัดการและใช้วัตถุดิบอย่างรู้ค่า รวมถึง Tips และตัวอย่างเมนูอาหารต่างๆ ในวัฒนธรรม และธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่น เพื่อใช้วัตถุดิบได้อย่างคุ่มค่า เหลือทิ้งน้อยที่สุด ตลอดจนการนำอาหารเหลือมารีไซเคิลสร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างกำไร ซึ่งสามารถนำปรับใช้กับธุรกิจร้านอาหารของคุณได้อย่างได้ผล การลดขยะอาหารสำหรับบุฟเฟ่ต์ที่ดูต้องสวยงามและจัดเต็มตลอดเวลา ดูจะเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก แต่ถ้ารู้จัก ‘Rethink’ ปรับเปลี่ยนวิธีคิด แค่เพียงเริ่มที่จะ ‘Review’ ขยะอาหารกันในหมู่พนักงานร้าน รับรองว่าจะทำให้ทีมของคุณมองเห็นข้อมูลของสิ่งที่ต้องจัดการ และออกแบบวิธีการทำงาน ‘Rework’ เพื่อลดขยะอาหารที่เหมาะสม และได้ผลกับร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาหารไทย และภูมิปัญญาในการจัดการใช้วัตถุดิบอาหารอย่างเคารพและรู้คุณค่า ตัวอย่างไอเดีย ‘Ingredient Recycling’ เมนูอาหารที่เกิดจากความต้องการกำจัดอาหารเหลือในวัฒนธรรมไทย พัฒนาการความตระหนักเกี่ยวกับ Food Waste ต่อธุรกิจร้านอาหารของผู้ประกอบการไทยในรุ่นก่อนๆ จนมาถึงผู้ประกอบการรุ่นใหม่ เทรนด์ของร้านอาหารรักษ์โลกในเมืองไทยซึ่งกำลังเริ่มเกิดขึ้นในขณะนี้ ตัวอย่างไอเดีย ‘Ingredient Recycling’ สำหรับเมนูอาหารตะวันตก และการจัดการครัวในธุรกิจอาหารตะวันตก ที่ช่วยลดขยะอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งแน่นอนว่าจะเป็นประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการร้านอาหารต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็กหรือธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีหลายสาขาได้นำไปปรับใช้กับร้านอาหาร ของคุณอย่างได้ผล และจะช่วยลดต้นทุนและวัตถุดิบในการทำอาหาร ช่วยเพิ่มรายได้และผลกำไรได้อย่างแน่นอน เรียนรู้หลักการวางแผน Zero Food Waste Management ที่เหมาะสมตั้งแต่ต้นจนจบครบวงจร เริ่มตั้งแต่การซื้อและการจัดเก็บวัตถุดิบ ไปจนถึง Portion Control หรือการควบคุมปริมาณอาหารที่เสิร์ฟ ซึ่งจะช่วยทำให้คุณจัดการลดขยะอาหารได้อย่างเห็นผล ช่วยลดต้นทุนและ เพิ่มรายได้ คืนกำไรกลับมาให้กับร้านของคุณได้จริง กิจกรรมไฮไลท์ ‘Zero Food Waste Workshop’ ซึ่งเป็น Open Workshop สุดพิเศษที่เปิดให้ผู้ประกอบการผู้สนใจสามารถเข้าร่วมโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น จะจัดขึ้นในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2563 ณ ห้อง MCC อาคารธาราพัฒนาการ แม็คโครสำนักงานใหญ่ ถนนพัฒนาการ นำโดยทีมวิทยากรผู้เชี่ยวชาญของ Makro Horeca Academy ร่วมด้วยวิทยากรรับเชิญ ผู้ประกอบการผู้นำเอาหลักการ Zero Food Waste Management ไปปรับใช้กับธุรกิจของตนจนประสบความสำเร็จมาแล้ว อย่าง คุณต่อ ‘ธนพันธ์ วงศ์ชินศรี’ จาก ‘Penguin Eat Shabu’ กับเชฟ แดเนียล บูชเชอร์ Daniel Bucher Executive Senior Sour Chef โรงแรม Bangkok Marriott Marquis Queen’s Park โรงแรมระดับห้าดาวแห่งแรกของโลกที่ได้การรับรองจาก The Pledge (เดอะ เพลดจ์) องค์กรกำหนดมาตรฐานอิสระ สร้างขึ้นเพื่อต่อสู้กับปัญหาขยะอาหารของโลก รับรองได้ว่าเวิร์กช็อปนี้จัดเต็มทั้งความรู้ ให้มุมมอง และเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจร้านอาหารและโรงแรมของคุณอย่างมากมาย! คลิกอ่าน Zero Food Waste Program ลดต้นทุน เพิ่มกำไร เปิดสูตรลับลดขยะอาหาร What is food waste ลดต้นทุน เพิ่มกำไร คุณก็ทำได้! ถ้าเข้าใจ Zero Food Waste ประโยชน์จากการจัดการ Food Waste ในร้านอาหาร สาเหตุของการเกิด Food waste ในร้านอาหาร Food Waste กับวิถีอาหารไทย จัดการวัตถุดิบอย่างชาญฉลาด ลด Food Waste ในวิถีญี่ปุ่น ขยะอาหารล้นโลก สถิติขยะอาหาร ระดับประเทศและระดับโลก ประโยชน์ของ Zero Food Waste สำหรับเจ้าของกิจการ พนักงาน ไปจนถึงลูกค้าและสังคม Food waste กับร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ รวมไอเดียเด็ด จัดการ Food waste สไตล์ตะวันตก ลดต้นทุน เพิ่มกำไร เปิดสูตรลับลดขยะอาหาร
Learn moreรวมไอเดียเด็ด จัดการ Food Waste สไตล์ตะวันตก
Zero Food Waste เป็นกระแสมาแรงมากในโลกฝั่งตะวันตก���� ไม่น่าแปลกใจเลยที่ชาวตะวันตก จะมีวิธีการจัดการลดขยะอาหารมากมายและสร้างสรรค์ เพื่อให้ผู้ประกอบการ มีไอเดียไปปรับใช้จัดการลดขยะอาหาร #กันเงินรั่วออกจากร้าน วันนี้ ‘เชฟ แดเนียล อัลทอส’ ✨ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารตะวันตก จาก แม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี จึงได้มาแบ่งปันเคล็ดลับไอเดียเด็ด คู่มือจัดการ Food Waste สไตล์ตะวันตก ที่คุณสามารถนำไปปรับใช้ช่วยเซฟเงิน ไม่ให้รั่วไหลออกจากร้านของคุณได้ชัวร์ ส่วนจะมีอะไรที่น่าสนใจบ้าง ลองตามไปดูกันเลยดีกว่า! “แทนที่จะปล่อยให้วัตถุดิบ #เสียทิ้งโดยเปล่าประโยชน์ เราสามารถนำของเหลือมาใช้ให้เกิดประโยชน์คุ้มค่าได้อย่างมากมาย เพียงแค่คุณอาจจะต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์สักหน่อยเท่านั้น แต่ก่อนจะไปถึงขั้น Advance ตรงนั้น เราลองมาดูวิธีจัดการกับวัตถุดิบเหลือเบสิกกันก่อนดีกว่า” เบื้องต้นเราควรจัดการกับวัตถุดิบส่วนที่ไม่ได้ใช้อย่างไรดี? ผลไม้ : ผลไม้ที่เหลือหรือหั่นแล้วนำไปปั่นทำสมูทตี้ ใส่สลัด ทำเป็นแยม หรือทำเป็นซอสผลไม้ ผัก : ใช้ผักที่เหลือ หรือที่ไม่สวย ทำเป็นซุป ผสมใส่กินกับสลัด หรือทำซอสเพสโต้ ใช้ใส่เพิ่มรสชาติให้กับน้ำซุป เศษเนื้อและกระดูก : ต้มเป็นซุปหรือน้ำสต๊อก เปลือกแตงโม : ทำผักดอง แยม หรือซัลซ่า ฝานบางๆ ผสมกับสลัดผัก มะเขือเทศ : ถ้าสุกและนิ่มเกินไปอาจดูไม่ค่อยสวยนัก แต่คุณค่าทางอาหารยังครบถ้วนและรสชาติดีอยู่ สามารถใช้ทำซอส ซุป หรือเอาไปทำซัลซ่า ผิวมะเขือเทศ: อบให้แห้งจนกรอบ ป่นผสมกับเกลือเพื่อทำเป็นเกลือมะเขือเทศที่อุดมไปด้วยรสอูมามิ ใบและต้นคื่นช่ายฝรั่ง : อบให้แห้งในเตาอบจนกรอบ ป่นผสมกับเกลือ ทำเป็นเกลือ Celery รสดี บร็อคโคลี่: ดอกบร็อคโคลี่ นำไปต้มทำซุป หรือนึ่ง ส่วนก้านดิบๆ นำไปฝานบางๆ แล้วใส่ในสลัด ใบลวกให้สุกหรือนำไปผัดได้ นอกจากนี้ยังสามารถบดและปั่นใส่รวมกับเพสโต้ซอสได้อีกด้วย ซังข้าวโพด: สามารถเก็บไว้ใช้เป็นเชื้อเพลิงแทนถ่านสำหรับย่าง เปลือกมันฝรั่ง : นำไปปรุงรสใส่น้ำมันมะกอกและสมุนไพร อบหรือทอดกรอบ แล้วเสิร์ฟเป็นของว่าง เมล็ดทุเรียน : แช่เมล็ดในน้ำเพื่อเอาเนื้อทุเรียนออกให้หมด ต้มเหมือนมันฝรั่งลอกหนังด้านนอกแล้วกินได้เพลินๆ หรือจะเอาไปพลิกแพลงทำเป็นเมนูอื่นตามสร้างสรรค์ก็ได้ ผักดอง : ผักหรือผลไม้ดองเป็นส่วนผสมที่ดีเยี่ยมสำหรับค็อกเทล ใส่ในแซนวิชหรือเป็นของว่าง เราสามารถนำของดองไปใช้ในเมนูต่างๆ ได้อย่างมากมาย ชัทนีย์ (Chutney) : ผักหรือผลไม้ที่สุกมากๆ เหมาะจะทำชัทนีย์ ได้เยี่ยมที่สุด ทั้งยังเป็นวิธีการแปรรูปของเหลือให้สามารถเก็บไว้กินได้นานๆ อีกด้วย “ขนมปังเก่าอย่าปล่อยให้เหลือทิ้ง นอกจากป่นทำเป็นเกล็ดขนมปังสำหรับชุบทอดแล้ว ยังสามารถสร้างสรรค์เป็นส่วนผสมในเมนูต่างๆ ได้อีกมากมาย” - ครูตองซ์ (Croutons) : นำขนมปังเหลือมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่สมุนไพร หรือเนยกระเทียมเพื่อทำเป็นขนมปังกรอบสำหรับใส่ในสลัดและซุป - ซุป: นำหอมใหญ่มาหั่นบางๆ แล้วนำไปย่าง ต้มทำ Onion Soup ใส่ขนมปังเก่าลงไปต้มกับน้ำซุปเพื่อเพิ่มรสสัมผัส - ของหวาน : นำขนมปังที่เหลือไปทำ Bread Pudding เสิร์ฟพร้อมซอสผลไม้รีไซเคิล “บ่อยครั้งที่คนทำร้านอาหารอย่างเรามักพบว่าวัตถุดิบบางอย่าง #ขายไม่ออก ทั้งๆ ที่ไม่ใช่เพราะรสชาติไม่ดี แต่เป็นเพราะลูกค้าไม่คุ้นเคยหรือไม่คิดว่ามันจะเป็นส่วนผสมของอาหารบางชนิดได้ จะดีมากถ้าร้านของคุณมีเมนูยอดนิยมสัก 2-3 อย่างในรายการอาหาร ซึ่งเป็นเมนูที่ควรจะสามารถยืดหยุ่นใช้วัตถุดิบต่างๆ ได้ทั้งในแง่ของการตัดแต่ง หรือปรับส่วนผสม” ตัวอย่างเมนูยอดนิยมยืดหยุ่นพลิกแพลงได้ดี 1.พิซซ่า: แน่นอนว่าพิซซ่าเป็น #ของชอบของทุกคน อยู่แล้ว และยังเป็นเมนูที่สามารถสร้างสรรค์ได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเมนูต้นตำรับ หรือจะสร้างสรรค์พืซซ่าในแบบฟิวชั่นที่เป็นซิกเนเจอร์ของคุณเอง ซึ่งเราสามารถปรับวัตถุดิบเหลือมาใช้ได้มากมาย 2.ทาโก้ : เป็นอีกหนึ่งเมนูยอดนิยมที่สามารถใช้ความครีเอทีฟในการใช้วัตถุดิบเหลือได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะใช้โปรตีนจากเนื้อสัตว์หรือผักอะไรก็ได้ 3. ครีมซุป : เป็นอาหารจานคลาสสิกของตะวันตกซึ่งยืดหยุ่นใช้วัตถุดิบได้อย่างหลากหลาย และแทนที่จะเรียกว่า “ซุปพิเศษประจำวัน” ซึ่งลูกค้าหลายคนอาจรู้ทันว่าทำขึ้นเพื่อระบายของเหลือ เราอาจจะตั้งชื่อซุปใหม่ให้ดึงดูดมากขึ้น เช่น “ซุปผักฤดูหนาว” หรือ “ซุปผักจากสวนครัว” อะไรทำนองนี้ ซึ่งฟังดึงดูดกว่ากันเยอะเลย 4.Crostini, Bruschetta, Pintxos, Canapes : ร้านอาหารตะวันตกหลายแห่งเราเสิร์ฟอาหารเรียกน้ำย่อยชิ้นเล็กๆ บนขนมปังปิ้ง ซึ่งสามารถสร้างสรรค์ได้อย่างไม่รู้จบ เรายังสามารถปรับใช้ผักดองหรือชัทนีย์ที่ทำเองได้กับเมนูเหล่านี้อีกด้วย 5. Bake Pasta : สำหรับเส้นพาสต้าที่เหลือ เราสามารถครีเอทเป็นเมนูพาสต้าอบได้โดยใส่เนื้อสัตว์และชีสที่เหลือลงไปได้ “อย่าจำกัดตัวเองไว้แค่ความเคยชิน ลองสังเกตดูว่าที่ร้านของคุณมีวัตถุดิบอะไรที่มักจะเหลือทิ้งอยู่่เป็นประจำ แล้วพยายามคิดอย่างสร้างสรรค์และมีจินตนาการ เชื่อแน่ว่าคุณจะสามารถครีเอทเมนูที่ทั้ง #อร่อยถูกใจลูกค้า และสามารถช่วยลด #FoodWaste ช่วยให้คุณ #เซฟได้ทั้งเงินรั่วไหล และ #มีเงินเข้าร้าน เพิ่มขึ้นอีกด้วย”
Learn moreมือใหม่เปิดร้าน วางแผนการสั่งวัตถุดิบ ต่อเดือนอย่างไร ไม่ให้ต้นทุนเข้าเนื้อ !
ปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งสำหรับมือใหม่เปิดร้านอาหารก็คือ การจัดการสต็อก แต่หลาย ๆ คนกลับไม่รู้ตัวว่า เป็นปัญหาสำคัญที่จำเป็นต้องแก้ไขเร่งด่วน เช่น สั่งวัตถุดิบขาด ถึงเวลาออเดอร์เข้ามาไม่พร้อมรับ เสียโอกาสการขายหรือ ต้องเสียเวลา เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มในการให้พนักงานออกไปซื้อมาเติมระหว่างวัน เพราะอาจต้องเจอกับราคาสูงกว่าที่ซื้ออยู่ประจำ หรือ สั่งวัตถุดิบเกินพอดีมากไปกลายเป็นต้นทุนจม หากจัดเก็บไม่ดีวัตถุดิบก็มีโอกาสเน่าเสียต้องขาดทุนในส่วนนั้นไปอย่างน่าเสียดาย เหล่านี้เป็นปัญหาที่เกิดมาจากการวางแผนจัดการสต็อกวัตถุดิบผิดพลาด หรือ ไม่รู้วิธีที่เหมาะสมในการวางแผนจัดการสต็อก ดังนั้น บทความนี้เรามาทำความเข้าใจวิธีการวางแผนจัดการสต็อกที่เหมาะสม ป้องกันการเกิดปัญหาสต็อกขาด สต็อกเกิน ไปติดตามกันเลย สูตรวางแผนสั่งวัตถุดิบให้เพียงพอต่อยอดขาย ในการทำธุรกิจร้านอาหาร หากมีการวางแผนที่ดีก็จะช่วยให้ผู้ประกอบการลดต้นทุน สร้างกำไรเพิ่มได้ไม่ยาก ซึ่งการวางแผนการสั่งวัตถุดิบให้เพียงพอต่อยอดขายคือเรื่องสำคัญลำดับแรก ๆ ที่ผู้ประกอบการจำเป็นต้องรู้ เพื่อให้เห็นภาพวิธีการคิด ขอยกตัวอย่างร้านอาหารสมมติว่าขึ้นมาประกอบ ประเภทร้าน : เป็นร้านอาหารไทยคาเฟ่ ประเภทอาหาร : อาหารไทยฟิวชัน ชา กาแฟ จำนวนเมนู : 40-50 รายการ จำนวนเครื่องดื่ม : 20-25 รายการ จำนวนที่นั่ง : 50 ที่นั่ง เวลาเปิดทำการ : 11.00-21.00 น. จำนวนพนักงาน : 8 คน ยอดขายที่ต้องการต่อเดือน : 500,000 บาท มาดูวิธีการวางแผนการสังวัตถุดิบให้เพียงพอต่อยอดขายสำหรับร้านนี้กันว่า มีวิธีการคิดอย่างไร ซึ่งท่านผู้ประกอบการสามารถนำไปปรับใช้ได้ให้เหมาะสมกับร้านของตัวเอง หัวใจสำคัญของการวางแผนสั่งวัตถุดิบจะอยู่ที่ข้อมูลการขาย ซึ่งจะต้องนำมาใส่ลงในตารางวางแผนการสั่งวัตถุดิบ โดยผู้ประกอบการสามารถดาวน์โหลดตารางเพื่อนำมาลงข้อมูลในส่วนของร้านไปพร้อม ๆ กับตัวอย่างตามบทความนี้ได้เลย (คลิกดาวน์โหลดตาราง) ประโยชน์สำหรับการลงข้อมูลในตารางนี้ ก็เพื่อที่ผู้ประกอบการได้รู้ยอดขายในแต่ละเมนูต่อวัน เพื่อที่เราจะสามารถจัดการสั่งซื้อวัตถุดิบให้เพียงพอต่อยอดขายได้ อาจจะดูยุ่งยาก แต่ถ้าทำจนเข้าใจแล้วก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายทันที! จากตัวอย่างตามตาราง จะเห็นว่ามีการจำแนกเมนูออกเป็นหมวดหมู่เพื่อให้ง่ายต่อการกรอกข้อมูล แต่สิ่งสำคัญคือ ผู้ประกอบการจะต้องใส่รายการเมนูอาหารที่มีอยู่ในร้านให้ครบทุกเมนู โดยในตารางจะแบ่งเป็นช่องต่าง ๆ ช่องที่ 1 เป็นช่องรายการเมนู ช่องที่ 2 เป็นช่องยอดขายเป็นจำนวนจานที่ขายได้ในเดือนนั้น ๆ ช่องที่ 3 เป็นการหายอดขายเฉลี่ยต่อวัน สูตรคิดก็คือ เอาจำนวนจานที่ขายได้ในเดือนนั้นมาหารด้วยจำนวนวันสามสิบวัน ก็จะได้ยอดขายเฉลี่ยต่อวันในแต่ละเมนู ทั้งนี้ เราควรหาค่าเฉลี่ยอย่างน้อย 3 เดือน เนื่องจากแต่ละเดือนจำนวนการขายจะไม่เท่ากัน ถ้าเราเกิดไปเอายอดเดือนที่ขายดีที่สุดมาใช้ ก็จะทำให้คลาดเคลื่อนได้ ซึ่งการคำนวณย้อนหลัง 3 เดือน ก็ให้นำยอดขายที่ขายได้แต่ละเมนูมาหารด้วย 90 วัน ก็จะได้ยอดขายเฉลี่ยต่อวันในแต่ละเมนู ช่องที่ 4 เป็นช่องการลงรายการใช้วัตถุดิบแต่ละรายการในแต่ละเมนู เช่น ช่องน้ำหนักของเนื้อสัตว์ที่ใช้ต่อจาน ช่องยอดใช้เนื้อสัตว์ในแต่ละวัน ซึ่งมีสูตรคำนวณดังนี้ ยกตัวอย่าง เมนูปีกไก่ทอด จำนวนที่ขายได้ 3 จานต่อวัน ปริมาณน้ำหนักปีกไก่ที่ใช้ต่อจานอยู่ที่ 150 กรัม เท่ากับว่า ในแต่ละวันร้านนี้จะใช้ปีกไก่เฉลี่ย 450 กรัม อีกสักตัวอย่าง เมนูลาบไก่ทอดร้านนี้ขายได้ 60 จานต่อเดือน ยอดขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 2 จาน น้ำหนักเนื้อไก่ที่ใช้ต่อหนึ่งจานอยู่ที่ 120 กรับ ในแต่ละวันร้านนี้จะใช้เนื้อไก่เฉลี่ย 240 กรัม เป็นต้น ให้ใส่จำนวนปริมาณเนื้อสัตว์ที่ใช้ต่อที่สำหรับทุกเมนูให้ครบ เราก็จะได้จำนวนปริมาณวัตถุดิบที่ต้องใช้ในแต่ละเมนูต่อวัน หากมีวัตถุดิบรายการไหนที่ใช้ซ้ำกัน ก็นำจำนวนที่ใช้ในแต่ละรายการมารวมกัน ก็จะได้จำนวนปริมาณวัตถุดิบรวมที่ต้องใช้ทั้งหมดต่อวัน ทั้งนี้ ผู้ประกอบการควรเตรียมวัตถุดิบให้มากกว่าจำนวนที่คำนวณได้ประมาณ 20-30% เนื่องจากว่าปริมาณยอดขายในแต่ละวันอาจไม่เท่ากันนั่นเอง เห็นไหมว่า การวางแผนสั่งวัตถุดิบให้เพียงต่อยอดขายนั้นทำได้ไม่ยาก เพียงแค่ผู้ประกอบการเปลี่ยนพฤติกรรมจากที่เคยซื้อของด้วยการกะปริมาณเอา มาเป็นการใช้ยอดขายเฉลี่ยมากำหนดในการจัดซื้อ ก็จะช่วยให้ร้านเรามีจำนวนวัตถุดิบที่เพียงพอต่อการขายในแต่ละวัน นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการจัดการสต็อกวัตถุดิบเท่านั้น จะเห็นว่าเรื่องสต็อกมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องต้นทุนและยอดขาย เรียกว่า ถ้าร้านอาหารใดจัดการสต็อกเป็น ก็เห็นกำไร ซึ่งผู้ประกอบการสามารถเรียนรู้การจัดการสต็อกเพิ่มเติมได้ในหลักสูตรเรียนฟรีจาก MHA สอนโดย อ.โบว์ มธุรส วงศ์ประดู่ Director ของ PRCM Thailand ธุรกิจให้คำปรึกษา และ Set Up ระบบร้านอาหาร คลิกอ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่นี่ เปิดร้านวันนี้กี่เดือนคืนทุน ข้อมูลที่ผู้ประกอบการต้องรู้ ! จำกัดงบกันเจ๊ง ! ด้วยเทคนิควางแผนเงินทุน ก่อนเปิดร้าน เปิดร้านเดือนแรก ตัวเลขติดลบ ! ถอดใจหรือไปต่อ เปิดร้านอาหาร เริ่มต้นส่งภาษีอย่างไร เช็คสถานะด่วน! ร้านคุณเข้าข่าย “วิกฤต” หรือไม่? ด้วยวิธี P&L คลิกอ่านบทความน่ารู้ จากแม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี มือใหม่เปิดร้านอาหาร การจัดการร้านอาหาร การตลาดเพื่อธุรกิจร้านอาหาร บทสัมภาษณ์และรีวิว การเลือกวัตถุดิบและอุปกรณ์ สูตรอาหาร ZERO FOOD WASTE
Learn moreไขข้อสงสัย “การทำบัญชี” ช่วยลดต้นทุน เพิ่มกำไรที่ร้านได้อย่างไร?
พูดเรื่องทำบัญชีแล้วหลายคนคงส่ายหัว ในเมื่อสิ่งนี้ถือเป็นเรื่องที่วุ่นวาย ต้องวนเวียนกับตัวเลขมากมายชวนปวดหัว บ้างก็คงมองว่าเป็นเรื่องทำยาก หากแต่การทำบัญชีอาจจะเรียกได้ว่าเป็นดั่งดวงตาของการทำร้านอาหารหรือคาเฟ่ก็คงไม่ผิดนัก ตัวเลขในบัญชีไม่เพียงจะบอกรายรับรายจ่ายเท่านั้น แต่สามารถลงรายละเอียดได้มากมายหลายด้าน เป็นต้นว่านำมาซึ่งการตั้งราคาขายที่เหมาะสม กระทั่งทำให้รู้ได้ถึงเมนูที่ขายดี วัตถุดิบยอดนิยม การบริหารสต็อกวัตถุดิบ และอื่นๆ อีกมากมาย ชวน ‘อ.ธนัย นพคุณ’ กูรูด้านบัญชีและ Course Director แห่ง FlowAccount มาร่วมแนะนำว่า การทำบัญชีทำอย่างไรที่จะช่วยให้ลดต้นทุน เพิ่มกำไร ถ้าไม่ทำแล้วธุรกิจจะพลาดอะไรไปบ้าง เบื้องต้นที่ควรรู้เกี่ยวกับบัญชีสำหรับมือใหม่มีเรื่องใด เพื่อเป็นไอเดียและแนวทางในการพัฒนาต่อยอดธุรกิจให้ขับเคลื่อนไปข้างด้วยกัน ‘งานบัญชี’ ของที่คนทำร้านอาหาร-คาเฟ่ต้องมี 5 เหตุผล ทำไมทำบัญชีแล้ว ถึงช่วยลดต้นทุน-เพิ่มกำไร 5 ข้อควรระวัง หากคุณไม่ทำบัญชี คุณจะพลาดอะไรไปบ้าง ข้อคิดเรื่องบัญชีถึงผู้ประกอบการร้านอาหาร-คาเฟ่ยุค New Normal ‘งานบัญชี’ ของที่คนทำร้านอาหาร-คาเฟ่ต้องมี สำหรับเจ้าของร้านอาหาร-คาเฟ่ที่เป็นมือใหม่ เพิ่งเริ่มต้นธุรกิจ นอกจากการคิดเรื่องการทำร้าน ไม่ว่าจะเป็นเมนูอาหาร ขนม และเครื่องดื่ม การออกแบบตกแต่งร้าน การหาเชฟและบาริสต้า พนักงานประจำร้าน สิ่งหนึ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องไม่มองข้ามคือเรื่องบัญชี เพราะหากอาหารและเครื่องดื่มเป็นหัวใจของร้าน บุคลากรในร้านเป็นกระดูกสันหลังแล้วล่ะก็ อย่างที่เกริ่นเอาไว้ การทำบัญชีย่อมเปรียบเสมือนเป็นดวงตาที่จะทำให้มองเห็นถึงเรื่องตัวเลขต่าง ๆ ที่เคลื่อนไหวในร้านอย่างนั้นแล้วมีสิ่งใดบ้างที่ร้านอาหาร-คาเฟ่ ต้องเริ่มกับบัญชี อย่างแรกสุด อ.ธนัยได้อธิบายถึงระบบบัญชี ที่เจ้าของร้านอาหาร-คาเฟ่ต้องรู้แบบเบื้องต้น ซึ่งบัญชีก็คือการเก็บข้อมูลด้านรายได้รายจ่ายอย่างเป็นระเบียบ สำหรับมือใหม่หรือคนที่คิดจะทำให้ร้านเป็นระบบ จำเป็นต้องทำบัญชีดังนี้ โดยขอแยกเป็นร้าน ‘ประเภทบุคคลธรรมดา’ และ ‘ประเภทนิติบุคล’ (ตามการจดทะเบียนของเจ้าของร้าน) ร้านบุคคลธรรมดา สิ่งที่ต้องทำคือ 1. บัญชีด้านรายรับ สำหรับเก็บข้อมูลรายได้ 2. บัญชีด้านรายจ่าย เพื่อเก็บข้อมูลรายจ่าย แตกรายการออกไป ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนเกี่ยวกับอาหาร ค่าเช่าที่ ค่าจ้างพนักงาน 3. บัญชีสต็อกสินค้า ต้องมีการเก็บข้อมูลสินค้าและวัตถุดิบ ทั้งการซื้อเข้าและเบิกออก ซึ่งจะทำให้ทราบถึงสถานะของคลัง ช่วยให้ไม่จมหมดไปกับการสำรองของเกินความจำเป็น โดยข้อดีไม่เพียงจะทราบถึงรายได้และรายจ่าย คำนวนออกมาเป็นกำไรเท่านั้น การทำบัญชีนี้ยังสามารถนำมาคิดราคาขายได้ด้วย เพราะทำให้ทราบต้นทุนเกี่ยวกับอาหารและบริการอย่างแท้จริง ซึ่งอยากได้กำไรเท่าไรก็สามารถตั้งราคาขายได้ตามความเหมาะสม นอกจากนั้น ร้านควรขึ้นทะเบียนร้านกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าให้เรียบร้อยด้วยเช่นกัน ร้านนิติบุคคล ที่จดทะเบียนเป็นบริษัทถูกต้องเรียบร้อยนั้น การทำบัญชีจะมีความเข้มข้นยิ่งกว่าร้านบุคคลธรรมดา เนื่องจากกฎหมายบังคับให้ต้องจัดทำบัญชี เบื้องต้นสิ่งที่ต้องทำมีดังนี้ 1. บัญชีรายรับ-รายจ่าย เช่นเดียวกับร้านบุคคลธรรมดา หากแต่จะต้องมีการออกใบเสร็จรับเงิน และทำใบหักภาษี ณ ที่จ่ายทุกครั้ง รวมถึงค่าการตลาด เช่น การจ้างอินฟลูอินเซอร์มารีวิวร้าน เป็นต้น 2. บัญชีสต็อกสินค้า เช่นเดียวกับร้านบุคคลธรรมดา 3. บัญชีเงินเดือนพนักงาน 4. เมื่อครบ 1 ปีจะต้องมีการยื่นงบการเงิน และเสียภาษีกับกรมสรรพากร นอกจากนั้น ปัจจุบันร้านอาหาร-คาเฟ่ นั้นมีรายได้เพิ่มเติมเข้ามาคือ บริการจากแอปพลิเคชันเดลิเวอรี ซึ่งในแง่ของการทำบัญชีนั้นถือเป็นรายรับเดียวกันกับหน้าร้าน ที่เดิมได้รับเป็นเงินสด บัตรเครดิต กระทั่งโอนหรือจ่ายเข้าบัญชีธนาคาร แต่ทว่าช่องทางเงินเข้าจะคนละส่วนกัน จึงต้องทำรีพอร์ตครอบคลุมรายละเอียดในส่วนเดลิเวอรีเข้ามาด้วย 5 เหตุผล ทำไมทำบัญชีแล้ว ถึงช่วยลดต้นทุน-เพิ่มกำไร ได้ทราบถึงเบื้องต้นแล้วว่า ร้านต้องมีบัญชีอะไรบ้าง ซึ่ง อ.ธนัย ได้อธิบายถึงประโยชน์ของการทำบัญชีเอาไว้ด้วย โดยมี 5 เหตุผลที่ว่า ทำไมการทำบัญชีแล้วถึงสามารถช่วยลดต้น และเพิ่มกำไร อยากปังปุริเย การทำบัญชีช่วยได้ 1. รู้ต้นทุนของอาหาร เหตุผลประการแรกของการทำบัญชี ก็เพื่อทำให้ได้ ‘รู้ต้นทุนของสินค้า’ ที่แท้จริง เพราะเวลาที่เราจะตั้งราคาขายสินค้าเท่าไร อย่างแรกที่จำเป็นต้องรู้คือต้นทุนของสินค้า ไม่ว่าจะเป็น วัตถุดิบที่ซื้อมาราคาเท่าไร ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการซื้อวัตถุดิบมีเท่า มีการดีลกับใครบ้าง เมื่อมีการรวบรวมข้อมูลของสินค้าได้อย่างถูกต้องแล้ว ก็ย่อมจะทำให้รู้ได้ว่า แต่ละเมนูหรือการให้บริการต่าง ๆ นั่นประกอบด้วยต้นทุนอะไรบ้าง ส่งผลให้เราตั้งราคาขายของได้ตามที่ต้องการ อยากทำโปรโมชั่นหรือส่วนลดเท่าไร ก็จะไม่กินต้นทุนจนส่งผลกระทบต่อผลรายได้ของร้าน 2. รู้สต็อกสินค้า อีกบัญชีที่เราต้องให้ความสำคัญคือ บัญชีสต็อกสินค้า ซึ่งมีประโยชน์อย่างกรณี เป็นต้นว่า สามารถเก็บข้อมูลได้ว่าเมนูไหนขายดีสุด ซึ่งก็จะทำให้รับรู้ถึงจำนวนวัตถุดิบที่ใช้ในการขายแต่ละเมนู พร้อมกับรู้ได้ว่าคลังของร้านสามารถทำอาหารอะไรได้บ้าง ทำให้การสั่งวัตถุดิบเข้ามาเป็นตามความเป็นจริง ทั้งยังช่วยลดค่าเสียโอกาส เงินของร้านก็จะไม่จมไปกับค่าวัตถุดิบเกินความจำเป็นอีกด้วย 3. สามารถบริหารการเงิน การทำบัญชีสามารถให้เราบริหารจัดการการเงินได้ถูกต้อง เนื่องจากทำให้ทราบถึงรายได้จริง การแยกต้นทุน ช่วยให้รู้ว่า ‘เงินสดของร้าน’ กองอยู่กับเรื่องใดบ้างเช่น ค่าวัตถุดิบ ด้านเงินเดือนพนักงาน เป็นต้น จึงทำให้ทราบได้ว่างบด้านไหนมากหรือน้อยไป ควรจะปรับเพิ่มหรือลด เช่น ณ ตอนนี้เศรษฐกิจกำลังอยู่ในช่วงขาลง ดังนั้นเงินที่อยู่กับลูกหนี้ ก็ต้องรีบไปโกยคืนกลับมาให้ได้มากที่สุด ส่วนเงินเจ้าหนี้ ก็ต้องหาทางดีลว่าชะลอการจ่ายเงินออกไปได้มากน้อยแค่ไหน หรือเงินที่จมในรูปสินค้าก็รีบไปผันเอาเงินเข้ามาในร้าน 4. เข้าใจสถานะการเงิน เมื่อมองในมุมของกิจการ ถ้าทำบัญชีก็จะทำให้เราได้รู้การบริหารเงิน ในอีกมุมหนึ่งก็ยังจะได้เห็น ‘ตัวเลข’ ว่ามีรายได้เข้า มามากน้อยแค่ไหน เทียบกับรายจ่าย หักลบกันแล้วเหลือกำไรเท่าไร กำไรเกิดขึ้นกับเงินสดที่เข้าสัมพันธ์กันหรือเปล่า ซึ่งปัญหายอดฮิตมาก คือ ขายของได้กำไร แต่เงินสดหายไปไหนไม่รู้ ถ้าทำบัญชีสามารถแก้ไขตรงนี้ได้ เพราะทำให้รู้ว่าเงินรั่วไปทางไหนบ้าง 5. รู้สถานะกิจการ เมื่อได้รับรู้ตัวเลขสถานะทางการเงินของตัวเองแล้ว สิ่งสำคัญของการบัญชีคือ ‘ถ้าทำแล้วรู้วางแผนการเงินต่อไปในอนาคต’ได้ สมมติว่าปีหน้าอยากให้กิจการมีเงินเพิ่มขึ้นเท่าไร อันไหนไม่ดีก็นำมาปรับปรุงแก้ไขวางแพลนได้ เพื่อเป็นการลดต้นทุน และเพิ่มช่องทางในการทำกำไรต่อไป 5 ข้อควรระวัง หากคุณไม่ทำบัญชี คุณจะพลาดอะไรไปบ้าง 1. ไม่รู้ต้นทุน ถ้าไม่ทำบัญชีก็เหมือนกับคนขายของแบบปิดตา เหมือนขับรถตอนกลางคืนไม่เปิดไฟหน้า เนื่องจากจะไม่สามารถตั้งราคาที่เหมาะสม ตรงตามราคาต้นทุนที่แท้จริงได้ ทำให้สุ่มเสี่ยงต่อการขาดทุน ที่สำคัญถ้าจดทะเบียนเป็นบริษัท การไม่จัดทำบัญชีเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายอีกด้วย 2. ไม่รู้ว่าเก็บเงินได้ครบจริงไหม ประเด็นนี้มองถึงเรื่องการควบคุมภายใน เพราะถ้าไม่ทำบัญชีมั่นใจได้อย่างไรว่า พนักงานเก็บเงินได้ครบตามจำนวนจริงหรือไม่ เงินหายไปหรือเปล่า 3. ไม่รู้กระแสเงินสดของกิจการ ถ้าไม่ทำบัญชีจะตอบไม่ได้ว่า เงินเข้า เงินออก แต่ละวันมีจำนวนเท่าไร ยกตัวอย่างให้ภาพง่าย ๆ คือ การเก็บเงินสดไว้ในลิ้นชักแคชเชียร์ หากไม่มีการบันทึกข้อมูลก็จะไม่รู้ว่ามีเงินเข้า เงินออก เงินทอน หรือประมาณการได้ว่าต้องเก็บเงินสดเอาไว้เท่าไร ถ้าจุดเล็ก ๆ อย่างเงินทอนในแคชเชียร์ยังตอบไม่ได้ แล้วเงินที่เข้ามาหรือจ่ายออกไปจะตอบได้ไหม หากมองถึงภาพรวมการเงินของกิจการเป็นภาพใหญ่ ข้อนี้สำคัญมาก 4. ป้องกันการทุจริต ถ้าไม่ทำบัญชีก็ย่อมไม่มีเครื่องมือในการมอนิเตอร์รายรับรายจ่าย ต้นทุน สต็อกสินค้า ซึ่งก็จะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าตัวเลขด้านบัญชีเป็นอย่างไร เจ้าของร้านต้องนั่งเฝ้าร้านเองทุกวัน เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีการทุจริตเกิดขึ้น พนักงานเก็บเงินครบตามจริง มีการเบิกจ่ายสต็อกถูกต้องหรือไม่ 5. กิจการจะไม่ทางโต เพราะถ้าร้านไม่ทำบัญชี ย่อมบ่งบอกได้ว่าจะไม่มีระบบการจัดเก็บข้อมูลที่ดี จะไม่สามารถแยกเงินของเจ้าของกับเงินร้านออกจากกันได้ เงินก็จะปนกัน ทำให้ไม่รู้เลยว่าขายของมาเงินเพิ่มขึ้นเท่าไร ข้อคิดเรื่องบัญชีถึงผู้ประกอบการร้านอาหาร-คาเฟ่ยุค New Normal สำหรับผู้ประอบการเจ้าของร้านอาหารคาเฟ่มือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นทำกิจการ อาจมองว่าการบัญชีอาจเป็นสิ่งที่รู้สึกว่า ‘ยาก’ และ ‘วุ่นวาย’ ทว่าตามที่ อ.ธนัย ได้แนะนำไปข้างต้นคงเป็นไอเดียให้ผู้ประกอบการทุกคนหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องบัญชีของร้านยิ่งขึ้นไม่มากก็น้อย ท้ายนี้ยังได้ฝากข้อคิดและกำลังใจ “ร้านอาหารและคาเฟ่ถือเป็นกิจการที่มีเสน่ห์และน่าลงทุน เพราะเติบโตง่าย ดังนั้นหากเราจะเริ่มต้นทำธุรกิจ จำเป็นจะต้องรู้ต้นทุน กำไร และการเก็บเงินให้ครบถ้วน ก็ต้องมีคนในการเก็บเอกสาร นั่นคือการทำบัญชีที่ดี แล้วทุกวันนี้เจ้าของธุรกิจยุคใหม่มีเทคโนโลยีเข้ามาช่วย ทำให้ค่อนข้างสะดวกสบายมากขึ้น การเก็บข้อมูลบัญชีที่เคยยุ่งยาก เพราะมีเอกสารกระดาษจำนวนมาก ปัจจุบันเอกสารบางอย่างสแกนเก็บแบบอิเล็กทรอนิกส์ได้ ทำให้รู้รายรับรายจ่ายได้ง่ายกว่าเมื่อก่อน ดังนั้นสิ่งที่อยากจะฝากเอาไว้คือ ถ้ามีการเก็บเอกสารที่ดี ทำให้รู้ต้นทุน การเก็บเงิน กิจการร้านอาหารก็จะเติบโตได้อย่างรวดเร็ว” MHA จับมือกับ FLOW ACCOUNT มอบสิทธิพิเศษเฉพาะสมาชิกฟรี ใช้งานโปรแกรมบัญชีออนไลน์ ฟรี 90 วัน โดยมีเงื่อนไขการใช้สิทธิ์ดังนี้ 1. สิทธิพิเศษสำหรับสมาชิก แม็คโครโฮเรก้าอคาเดมี (MHA) **สามารถใช้สิทธินี้ ได้หลังสมัครสมาชิก MHA แล้ว 10 วัน 2. สิทธิพิเศษนี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นเงินส่วนลด หรือแพ็คเกจอื่นๆ ได้ 3. สงวนสิทธิพิเศษนี้ เฉพาะสมาชิกที่ไม่เคยใช้งานในโปรแกรมบัญชีออนไลน์ FlowAccount 4. สงวนสิทธิ์นี้ สำหรับ 1 สิทธิ์ / 1 อีเมล / 1 บริษัท เท่านั้น 5. สมาชิกผู้ขอใช้สิทธิ์สามารถเข้าเรียนการใช้งานได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย 6. สมาชิกผู้ขอใช้สิทธิ์ต้องแจ้งรหัสสิทธิพิเศษ และหมายเลขสมาชิกแม็คโคร ผ่านทาง Livechat (ทาง www.flowaccount.com) หรือ Line: @FlowAccont เพื่อรับสิทธิพิเศษนี้ 7. ระยะเวลาการใช้สิทธิ์ มีระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค. - 31 ธ.ค. 2563 8. สอบถามข้อมูลการใช้สิทธิ์เพิ่มเติม โทร 02-026-8989 คลิกอ่านบทความน่ารู้ จากแม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี มือใหม่เปิดร้านอาหาร การจัดการร้านอาหาร การตลาดเพื่อธุรกิจร้านอาหาร บทสัมภาษณ์และรีวิว การเลือกวัตถุดิบและอุปกรณ์ สูตรอาหาร ZERO FOOD WASTE
Learn moreขายดีหัวกระไดไม่แห้ง! เรียกลูกค้าใหม่ด้วย Facebook กระตุ้นลูกค้าเก่าด้วย Line OA
หลายคนสับสนกับการใช้เครื่องมือการตลาดออนไลน์ โดยเฉพาะ Facebook และ LINE OA เพราะเข้าใจว่าทั้ง 2 แพลตฟอร์มมีการใช้งานเหมือนกัน วันนี้ MHA จะมาทำความเข้าใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Facebook และ LINE OA ในการทำการตลาดร้านอาหาร และทำความเข้าใจแนวคิดที่อยู่เบื้องหลังการทำการตลาดออนไลน์ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยเราจะนำเอาการวิเคราะห์ Customer journey มาใช้งานในการทำการตลาดออนไลน์ให้กับร้านอาหารของเรานั่นเอง Designed by upklyak / Freepik อะไรคือ Customer journey ? Customer journey คือ เส้นทางการตัดสินใจซื้อของลูกค้า ตั้งแต่ก่อนจะเป็นลูกค้า รู้จักสินค้า หาข้อมูล จนถึงการตัดสินใจซื้อสินค้าหรือใช้บริการ รวมถึงกลับมาซื้อสินค้าหรือใช้บริการนั้นซ้ำ คำว่าเส้นทางนั้น ไม่ได้หมายถึง การเดินทางอย่างแท้จริง แต่หมายถึง กระบวนการหรือขั้นตอน ที่ลูกค้ามักจะใช้ในการตัดสินใจซื้อสินค้า ซึ่งถ้าเราทำความเข้าใจถึงกระบวนการนี้ได้ เราจะสามารถทำการตลาดได้ตรงกับพฤติกรรมของลูกค้าได้อย่างแม่นยำ Customer journey ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ได้แก่ 1. การรับรู้ (Awareness) 2. การพิจารณาหรือการหาข้อมูล (Consideration or Evaluation) 3. ตัดสินใจซื้อ (Purchase) 4. การใช้งานสินค้าและบริการ (Usage) 5. การซื้อซ้ำหรือใช้บริการซ้ำ (Loyalty) ทั้งนี้ Customer journey สำคัญกับการตลาดออนไลน์เป็นอย่างมาก เพราะหากไม่เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค เช่น ไม่เข้าใจว่านิยมใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ไหน ชอบคอนเทนต์แบบไหน การโปรโมทร้านของเราก็อาจไม่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย และทำยอดขายได้ไม่ดีอย่างที่ตั้งใจไว้ ทำความเข้าใจ Facebook Page กับ Line OA อีกที ตามแนวทาง Customer journey เริ่มต้นที่ Facebook Page โดยทั่วไปแล้วจะทำหน้าที่เหมือนหน้าร้าน ที่เปิดให้ทั้งคนที่ยังไม่เป็นลูกค้าหรือคนที่เป็นลูกค้าอยู่แล้ว ได้เข้ามาทำความรู้จักกับร้าน รู้จักกับสินค้า หรือแม้แต่ข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับร้าน ด้วยลักษณะเฉพาะที่สามารถในการลงรูปภาพ วิดีโอ และเนื้อหา ลงบนหน้า Feed และเมื่อผู้ใช้งาน Facebook ทำการ like หรือ share เพจของเรา จะทำให้เพื่อนหรือผู้ติดตามของผู้ใช้งาน มองเห็นเนื้อหน้าหรือเพจของเราไปด้วย และยังสามารถซื้อโฆษณาให้เพจเราไปปรากฏบนหน้า Feed ของกลุ่มเป้าหมายโดยตรงได้อีกด้วย ทำให้ Facebook Page เป็นเครื่องมือการตลาดออนไลน์ที่เหมาะสมกับการบอกต่อ รีวิว และลง Content ของร้าน ซึ่งทั้งหมดเรียกรวมกันว่า Content Marketing นั่นเอง เส้นทางการตัดสินใจซื้อของลูกค้า, Facebook page และ ร้านอาหาร โดยทั่วไปนักการตลาดจะใช้ Facebook ในการสร้างการรับรู้(Awareness) ให้กับกลุ่มเป้าหมายใหม่ โดยผ่าน Content ที่มีประโยชน์และน่าสนใจบนเพจของร้าน และให้ข้อมูลสำหรับผู้ที่สนใจร้านแต่ยังไม่มีข้อมูล ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาหรือการหาข้อมูล (Consideration or Evaluation) ซึ่งจะเชื่อมโยงกับเส้นทางของผู้บริโภคตาม Infographic นี้ กลุ่มเป้าหมายของร้านจะพบเห็นโพสต์หรือหน้าเพจของร้านที่ถูกแชร์ โดยคนที่เป็น Friend หรือคนที่ Follow ไว้ใน Facebook หรือพบเพจของร้านเลยในกรณีที่ Boost เพจ หรือพบเห็นโพสต์ที่ร้านต้องการให้ขึ้นหน้า Feed ของกลุ่มเป้าหมาย ในกรณีที่ Boost Post (ในส่วนนี้ให้ลองศึกษาเรื่อง Boost เพจ Boost โพสต์ และการซื้อโฆษณาใน Facebook อีกที) กลุ่มเป้าหมายจะอ่าน Content ที่โพสต์ Feed ของตัวเองหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความน่าสนใจของ Content นั้น เช่น มีภาพที่น่าสนใจหรือไม่ หรือล้อตามกระแสในช่วงนั้น ดังนั้นเพจที่ดีจะต้องผลิต Content ให้น่าสนใจ มีรีวิวที่ดีจากลูกค้า หรือ Content จากนักรีวิวมืออาชีพ เป็นต้น เมื่อลูกค้าตัดสินใจมาทานอาหารที่ร้าน ให้ลองสอบถามดูว่ารู้จักร้านจากที่ใด และเก็บเป็นสถิติไว้ เพื่อใช้เป็นช่องทางในการทำโฆษณาต่อไป เสนอโปรโมชั่นสำหรับการ Review-Like-Share-Chack in อย่าลืมแจ้งให้ลูกค้าเปิดการมองเห็นเป็นสาธารณะ(Public) และอย่าลืมว่าคะแนนรีวิวที่ดี มาจากบริการที่ดีเช่นกัน เมื่อลูกค้าได้รับความพึงพอใจ จะส่งผลให้เกิดการบอกต่อใน Facebook ในทางที่ดี และ Review ร้านด้วยคะแนนระดับสูง ส่งผลให้เกิดการมองเห็นและสื่อสารไปยังกลุ่มเพื่อนของลูกค้าต่อไปเรื่อย ๆ และมีโอกาสในการกลับมาใช้บริการอีก ทั้งนี้ MHA ขอแนะนำให้ใช้การทำ Content Marketing บน Facebook Page ดังนี้ Story Telling เล่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับร้าน อาหารในร้าน ประวัติ หรือ Content ที่เป็นประโยชน์กับลูกค้า รวมถึงแจ้งบริการต่าง ๆ ของทางร้าน พร้อมลงภาพประกอบที่สวยงาม Review ทั้งจากลูกค้าและจาก Reviewer เพราะจะช่วยดึงดูดความสนใจ และช่วยกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจใช้บริการได้ดี Video Content เพราะภาพเคลื่อนไหวดึงดูความน่าสนใจได้มากกว่าภาพนิ่ง หัดเล่นกับสถานการณ์ และเทศกาลต่าง ๆ ลูกค้าจะได้ลูกสึกว่าร้านมีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ร้านมีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา Like-Share-Check in ยังจำเป็นเสมอ เหมือนเป็นการบอกต่อปากต่อปาก อาจมีเกมส์ให้ร่วมสนุกเป็นบางครั้ง เช่น แชร์โพสต์เพื่อลุ้นรับรางวัล เป็นต้น การรักษาฐานลูกค้า กับ LINE OA จริงอยู่ แม้ว่าลูกค้าจะสามารถ Add LINE ของร้านอาหารได้ก่อนที่จะไปใช้บริการ แต่ก็มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่จะทำเช่นนั้น เว้นแต่จะเป็นร้านที่มีบริการ Delivery ซึ่งลูกค้ามักจะสั่งผ่านไลน์หรือ Application อื่นมากกว่า ดังนั้น LINE OA จึงได้ผลมากในกรณีที่ลูกค้าเคยมาใช้บริการที่ร้านแล้ว และเห็นโปรโมชั่นที่ถูกใจเพื่อแลกกับการ Add LINE OA ของทางร้าน จากนั้นทางร้านจะสามารถติดต่อ กระจายข่าวสาร โปรโมชั่นต่างๆ ผ่านทาง LINE OA ได้ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการซื้อซ้ำหรือใช้บริการซ้ำ (Loyalty) ได้เป็นอย่างดี รวมถึงรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า ตาม Infographic นี้ เมื่อลูกค้ามาทานอาหารที่ร้าน ทางร้านควรมีโปรโมชั่นที่กระตุ้นให้ลูกค้ายอม Add LINE OA ของทางร้าน โดยอาจเป็นการแถมเมนูพิเศษ หรือลดราคา ทั้งนี้ควรแจ้งสิทธิประโยชน์ที่จะได้จากการ Add LINE ของร้านให้กับลูกค้าได้รับทราบด้วย เมื่อลูกค้า Add LINE แล้ว ทางร้านจะสามารถกระจายข่าวสาร หรือทำการโฆษณาผ่าน LINE OA ได้ ซึ่งลูกค้าทุกคนที่ ADD ไว้จะได้รับข้อความด้วยกันทุกคน โดยเนื้อหาที่ควรนำเสนอลูกค้าได้แก่ โปรโมชั่นในช่วงต่างๆ ข้อความพร้อมภาพบรรยายเมนูเด็ดที่ขึ้นชื่อของร้าน โดยทั้งหมดจะต้องไม่มีเนื้อหาที่ยาวเกินไป และกำหนดเวลาในการส่งให้ดี ไม่ถี่เกินไปจนน่ารำคาญ และทำให้ลูกค้า Block LINE ของทางร้านได้ โดยส่วนใหญ่เมื่อลูกค้าพบโปรโมชั่นที่ถูกใจจากใน LINE ก็จะไปทานอาหารที่ร้านซ้ำที่ร้านอีกหลายหน ดังนั้นควรมีการจัดโปรโมชั่น หรือกระจายข่าวสารความเคลื่อนไหวของร้านอยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้ MHA ขอแนะนำให้ใช้การทำ Marketing บน LINE OA ดังนี้ - โปรโมชั่นประจำฤดูกาล หรือเทศกาลที่เกี่ยวข้อง โดยอาจเพิ่ม Content สั้นๆ อธิบายโปรโมชั่นด้วยก็ได้ - ระบบสะสมแต้มและระบบสมาชิก เพื่อกระตุ้นให้เกิดการซื้อซ้ำที่บ่อยขึ้น - ต้องไม่ลืมว่า LINE ไม่ใช่การสื่อสารช่องทางเดียว แต่สามารถพูดคุยตอบโต้ได้ ดังนั้นทางร้านจึงควรให้บริการจองที่นั่ง และสอบถามผ่าน LINE ด้วย จะเห็นได้ว่าการทำการตลาดออนไลน์นั้น จำเป็นจะต้องเข้าใจลูกค้าให้ลึกซึ้ง ไม่เช่นนั้นเราอาจจะทำการตลาดไปผิดช่องทาง ทำให้ร้านขายไม่ได้ตามที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ อาจฟังดูเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าเรียนรู้วิธีการและสามารถวิเคราะห์ Customer Journey ได้ จะมีประโยชน์กับร้านอาหารของเราเป็นอย่างมาก แล้วกลับมาพบกับบทความดี ๆ จาก MHA ได้ใหม่ในตอนต่อไป Credit ภาพ LINE Official Account Facebook for Business คลิกอ่านบทความที่น่าสนใจได้ที่นี่ ปักหมุด Location ร้านอาหารอย่างไรให้ตรงเป๊ะ! อยากให้ร้านมีรีวิวเยอะ ๆ ทำอย่างไรดี? เปิดเพจร้านแต่ไม่รู้จะโพสอะไรดี? ออกแบบโปรโมชั่นร้านอย่างไรให้ลูกค้า Wow ต่อคิวซื้อ! ขายผ่าน App Food Delivery หรือขี่มอเตอร์ไซต์ส่งเอง แบบไหนดีกว่ากัน? คลิกอ่านบทความน่ารู้ จากแม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี มือใหม่เปิดร้านอาหาร การจัดการร้านอาหาร การตลาดเพื่อธุรกิจร้านอาหาร บทสัมภาษณ์และรีวิว การเลือกวัตถุดิบและอุปกรณ์ สูตรอาหาร ZERO FOOD WASTE
Learn moreเทคนิคการวางแผน ลด Food waste ในร้านอาหาร อย่างชาญฉลาด
อย่างที่หลายคนรู้ว่า เกินครึ่งของ Food waste ในร้านนั้นเกิดตั้งแต่ในครัว ไม่ใช่จากบนโต๊ะลูกค้า ซึ่งแทนที่ร้านอาหารจะรอให้เกิด Food waste แล้วค่อยมาหาวิธีการนำ Waste เช่น วัตถุดิบที่เหลือจากการตัดแต่งไปทำเป็นเมนูใหม่ หรือไปลดปริมาณอาหารของลูกค้าเพื่อให้เกิด Waste จากการทานเหลือน้อยลง เราสามารถลด Food waste ได้มีประสิทธิภาพมากกว่านั้น ซึ่งวันนี้ผมมีเทคนิคการลด Food Waste ตั้งแต่ขั้นตอนการสั่งวัตถุดิบ ไปจนถึงก่อนอาหารถูกเสิร์ฟมาฝากกัน ขั้นตอนการวางแผนวัตถุดิบ ขั้นตอนนี้ถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการควบคุมไม่ให้เกิด Food waste เพราะถ้าร้านมีการวางแผนที่ดี จะทำให้โอกาสที่จะเกิด Waste นั้นลดลงไปได้มาก ซึ่งร้านจำเป็นที่จะต้องทำมาตรฐานวัตถุดิบที่ร้านต้องการ ต้องมีการคาดการณ์การใช้วัตถุดิบอย่างแม่นยำ ไปจนถึงมีกระบวนการตรวจรับวัตถุดิบที่มีประสิทธิภาพ การจัดทำมาตรฐานวัตถุดิบ เคยเป็นมั้ยที่วัตถุดิบที่ซื้อมาแต่ละครั้งขนาดและมาตรฐานไม่ตรงกันเลย บางครั้งมาขนาดเล็ก บางครั้งกลับมาขนาดใหญ่ บางครั้งมาอ่อนบางครั้งมาแก่ ถ้าคุณไม่สามารถควบคุมมาตรฐานวัตถุดิบที่รับมาได้ตั้งแต่แรกนั้น ไม่มีทางที่คุณจะปรุงอาหารได้เป็นรสชาติเดียวกันได้เลย และยิ่งมีโอกาสจะทำให้เกิด Food waste มากขึ้นด้วยเพราะพนักงานครัวจะกะไม่ถูกว่าควรจะตัดแต่งในปริมาณเท่าใด การจัดทำมาตรฐานวัตถุดิบ หรือที่เราเรียกว่า Product specification นั้น คือการที่คุณกำหนดมาตรฐานสำคัญต่าง ๆ ที่มีผลต่อวัตถุดิบนั้น ๆ เช่น สายพันธุ์ ยี่ห้อ ขนาด น้ำหนัก การตัดแต่ง ไปจนถึงรูปแบบแพคเกจจิ้ง ฯลฯ ซึ่งจะถือเป็นข้อตกลงระหว่างร้านอาหารและซัพพลายเออร์ถึงมาตรฐานที่ร้านอาหารนั้นต้องการ การคาดการณ์วัตถุดิบ ร้านอาหารสามารถวางแผนการสั่งวัตถุดิบได้ โดยจากการวิเคราะห์ข้อมูลการขายจากระบบ POS โดยที่เราจะรู้จำนวนการขายในแต่ละออเดอร์ ทำให้เราสามารถคาดการณ์การขายในอนาคตได้ ซึ่งปัจจัยที่มีผลต่อปริมาณการสั่งวัตถุดิบแต่ละครั้งนั้นมีอยู่ 3 ปัจจัยด้วยกันก็คือ ปริมาณการใช้วัตถุดิบต่อสัปดาห์ ปริมาณ Safety Stock ที่เผื่อไว้ในกรณีที่มีการใช้วัตถุดิบมากกว่าที่คาดการณ์ จำนวนรอบการส่งต่อสัปดาห์ ซึ่งหากคุณไม่มีการคำนวณปริมาณการใช้วัตถุดิบต่อหนึ่งรอบการสั่งให้ดีแล้ว อาจทำให้เกิดปัญหาทั้งการสั่งวัตถุดิบขาดหรือการสั่งเกินกว่าความจำเป็น การกำหนดวิธีตรวจรับวัตถุดิบ การตรวจรับวัตถุดิบที่ดีนั้น ต้องมีการประสานงานระหว่างร้านอาหารและซัพพลายเออร์ในเรื่องของเวลารับส่งวัตถุดิบ เพราะไม่เช่นนั้นเกิดซัพพลายเออร์มาส่งวัตถุดิบในช่วงเวลาที่พนักงานร้านกำลังยุ่งกับการบริการลูกค้า เช่น ช่วงเวลากลางวันแล้ว มีโอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดในการตรวจรับ ทำให้วัตถุดิบที่ไม่ได้คุณภาพตามที่กำหนดเล็ดลอดเข้ามารวมไปถึงอาจมีโอกาสที่พนักงานในครัว ลืมนำวัตถุดิบที่ตรวจรับมาจัดเก็บในพื้นที่จัดเก็บหรือตู้เย็นอย่างเหมาะสม ทำให้วัตถุดิบนั้นมีคุณภาพที่ลดลง 2. การเก็บรักษาวัตถุดิบ หลังจากที่พนักงานทำการรับวัตถุดิบจากซัพพลายเออร์มาเรียบร้อยแล้ว ควรจะทำการแยกวัตถุดิบออกมาแต่ละชนิดและทำการเก็บรักษาในภาชนะที่เหมาะสมโดยทันที เช่น ผักที่จำเป็นจะต้องแช่น้ำไว้เพื่อคงสภาพให้นานที่สุด ก็ควรหาภาชนะแนวตั้งมาทำการแช่ ส่วนผักที่เหลือก็ทำการแยกเก็บในภาชนะพลาสติกแบบมีฝาปิดมิดชิด เพื่อป้องกันการกระแทกและช้ำจากอากาศในตู้เย็นเย็นมากเกินไป วัตถุดิบประเภทเครื่องปรุง ก็ควรแกะออกจากถุงแล้วนำไปเก็บในกระปุกที่มีฝาปิด เพื่อป้องกันการหกหล่นของวัตถุดิบขณะปรุงอาหาร หรือวัตถุดิบ เช่นเนื้อสัตว์ก็ควรมีการทำ FIFO (First-in First-out) เพื่อที่จะได้รู้ว่าวัตถุดิบไหนควรนำมาใช้ก่อน วัตถุดิบไหนควรใช้ทีหลัง เพื่อเป็นการป้องกันการหมดอายุของวัตถุดิบ 3. การควบคุมปริมาณวัตถุดิบต่อจาน (Portion control) ต่อให้คุณจะมีการกำหนดมาตรฐานวัตถุดิบโดยละเอียด มีวางแผนจัดการวัตถุดิบที่ดี และมีการวางแผนเก็บรักษาวัตถุดิบอย่างเหมาะสมเพียงไร หากคุณละเลยขั้นตอนสุดท้ายก่อนที่อาหารจะถูกนำไปเสิร์ฟลูกค้า คือ ขั้นตอนการปรุงอาหาร โดยไม่ได้มีการกำหนดปริมาณวัตถุดิบ (Portion control) แต่ละชนิดที่ถูกใส่ลงไปอย่างถูกต้องตามมาตรฐานสูตรอาหาร (Standard recipe) แล้ว นอกจากอาหารจานนั้นจะไม่ได้รสชาติตามมาตรฐาน ยังมีโอกาสที่จะเกิด Food waste จากการใส่ปริมาณวัตถุดิบที่มากเกินไปด้วย วิธีการแก้ไข ก็คือการใช้อุปกรณ์ชั่งตวงวัดเข้ามาช่วยในขั้นตอนการปรุง เช่น เครื่องชั่งน้ำหนักดิจิตอลในการชั่งปริมาณเนื้อสัตว์ก่อนลงกระทะผัด การใช้ช้อนตวง (Portion spoon) แยกแต่ละเครื่องปรุงในการตักเครื่องปรุงหรือวัตถุดิบแทนการกะปริมาณด้วยสายตา และการจับเวลาหรือวัดอุณหภูมิขณะปรุงว่าได้ตามที่กำหนดแล้วหรือยัง เหล่านี้ก็จะช่วยลด Food Waste ก่อนที่อาหารจะถูกเสิร์ฟไปยังโต๊ะลูกค้าได้เป็นอย่างดี สามารถติดตาม Zero Food Waste Program ลดต้นทุน เพิ่มกำไร เปิดสูตรลับลดขยะอาหารผ่านทาง Facebook : แม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี และเว็บไซต์ เพื่อเพิ่ม Know-how เพิ่มไอเดีย ให้ผู้ประกอบการร้านอาหาร นำไปพัฒนาธุรกิจให้แข็งแกร่งและสามารถ ‘อยู่รอด’ ได้ในสถานการณ์ปัจจุบันได้ และเรียนรู้วิธีลดขยะอาหารซึ่งจะช่วยลดต้นทุน สร้างกำไรให้มากขึ้น กับคอนเทนต์ออนไลน์เกี่ยวกับขยะอาหาร และวิธีการจัดการลดขยะอาหาร คลิกอ่าน Zero Food Waste Program ลดต้นทุน เพิ่มกำไร เปิดสูตรลับลดขยะอาหาร What is food waste ลดต้นทุน เพิ่มกำไร คุณก็ทำได้! ถ้าเข้าใจ Zero Food Waste ประโยชน์จากการจัดการ Food Waste ในร้านอาหาร สาเหตุของการเกิด Food waste ในร้านอาหาร Food Waste กับวิถีอาหารไทย จัดการวัตถุดิบอย่างชาญฉลาด ลด Food Waste ในวิถีญี่ปุ่น ขยะอาหารล้นโลก สถิติขยะอาหาร ระดับประเทศและระดับโลก ประโยชน์ของ Zero Food Waste สำหรับเจ้าของกิจการ พนักงาน ไปจนถึงลูกค้าและสังคม Food waste กับร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ รวมไอเดียเด็ด จัดการ Food waste สไตล์ตะวันตก ลดต้นทุน เพิ่มกำไร เปิดสูตรลับลดขยะอาหาร
Learn moreอยากเสิร์ฟเมนูญี่ปุ่น ไม่ยาก! ข้าวญี่ปุ่น น้ำซุปเข้มข้น ซอสญี่ปุ่น หาได้ที่นี่
เทรนด์อาหารญี่ปุ่นไม่ได้ฮิตในไทยเพียงเท่านั้น แต่อาหารญี่ปุ่นเป็นอาหารที่ได้รับความนิยมจากผู้คนทั่วโลก หาทานได้เกือบทุกเมืองในสหรัฐอเมริกา เป็นอาหารกล่องวางขายในซูเปอร์มาร์เก็ต หรือเป็นของกินเล่นระหว่างดูอเมริกันฟุตบอล โดยเฉพาะลอสแองเจลิสและนิวยอร์กที่มีร้านอาหารญี่ปุ่นตั้งเรียงรายติดๆ กันในระยะที่เดินได้ ด้วยชาวญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมการกินที่มีความเฉพาะตัว การใส่ใจในการคัดสรรวัตถุดิบ และการเลือกเครื่องปรุงที่เหมาะสมกับอาหารแต่ละเมนู เพื่อให้ได้รับรสชาติที่แท้จริงของวัตถุดิบที่นำมาทำอาหารเมนูนั้นๆ แม้อาหารญี่ปุ่นจะมีวิธีการปรุงที่ดูเรียบง่ายแต่แฝงไว้ด้วยความละเอียดพิถีพิถันและรสอูมามิ เช่นนี้ทำให้คนทั้งโลกหลงใหลในอาหารญี่ปุ่น และแน่นอนว่าหากร้านของคุณมีเมนูสไตล์ญี่ปุ่นเสิร์ฟแล้วล่ะก็รับรองได้ว่า ต้องเป็นเมนูแรกๆ ที่ลูกค้าเลือกสั่ง อีกทั้งยังสามารถขายได้ในราคาดี เพราะหน้าอาหารญี่ปุ่นสวยงาม น่ารับประทาน ลูกค้ายอมจ่ายได้ในราคาที่สูงกว่า เสิร์ฟเมนูญี่ปุ่นยอดนิยมได้ ไม่ยาก! ในบ้านเราจึงมีร้านอาหารญี่ปุ่นเกิดขึ้นมากมายทั้งร้านอาหารที่เป็นแบรนด์เล็กจนถึงแบรนด์ใหญ่ หรือแม้แต่ร้านทั่วไปก็ยังนำเสนอเมนูอาหารญี่ปุ่นให้แก่ลูกค้าของร้าน ซึ่งเมนูยอดฮิต หลายๆ เมนู มีวัตถุดิบหลักเพียง ข้าวญี่ปุ่น เนื้อสัตว์ น้ำซุป และ ซอสชนิดต่างๆ เพียงเท่านี้ก็สามารถรังสรรค์เมนูสุดพิเศษใว้คอยต้อนรับลูกค้าได้แล้ว ซึ่ง Makro รวบรวมและคัดสรรวัตถุดิบที่ดี จากแห่งผลิตที่ดี การผลิตที่ได้มาตรฐานใว้ให้เลือกซื้อได้อย่างสะดวกสบาย ข้าวญี่ปุ่น เอกลักษณ์อาหารญี่ปุ่น ข้าวญี่ปุ่นซาซานิชิกิ ข้าวญี่ปุ่น มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ และความโดดเด่นที่ไม่เหมือนข้าวไทยบ้านเรา มีความเหนียว นุ่ม ไม่เละ เหมือนข้าวหอมมะลิไทย แต่มีความเหนียวกว่า ข้าวญี่ปุ่นพันธ์ซาซานิชิกิ เป็นสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมมากในประเทศญี่ปุ่น โดยเป็นสายพันธุ์ผสมระหว่างสายพันธุ์โคชิฮิการิ ซึ่งเป็นสายพันธุ์อันดับหนึ่ง กับสายพันธุ์ซาซาชิกุเระ อุดมไปด้วยเส้นใยอาหารและคุณค่าทางสารอาหาร มีลักษณะเป็นเมล็ดสั้น สีขาว รสชาติหวานนิดๆ มีความเหนียวเล็กน้อย สามารถใช้ตะเกียบกินได้ง่าย เป็นข้าวสารญี่ปุ่นที่คัดสรรจากแหล่งปลูกข้าวที่ดี โดยควบคุมการผลิตตามมาตรฐานจึงมั่นใจได้ว่าให้รสชาติของความใหม่ สามารถรับทานกับอาหารญี่ปุ่นได้ทุกประเภท สามารถเลือกซื้อ ข้าวญี่ปุ่นซาซานิชิกิ ได้สะดวกที่ Makro Click คลิกเลย ซอส หัวใจหลักของอาหารญี่ปุ่น อาหารญี่ปุ่นโดยส่วนใหญ่มักจะมีซอสปรุงรสเป็นส่วนผสมหลัก ถือเป็นเอกลักษณ์ความอร่อยของอาหารญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ ซอสปรุงรสในอาหารญี่ปุนยังเป็นตัวสร้างรสชาติความอร่อยที่แตกต่างของแต่ละร้านอีกด้วย ในร้านอาหารญี่ปุ่นเชฟจึงปรุงรสชาติให้เป็นเอกลักษณ์ การทำซอสให้มีรสชาติแบบญี่ปุ่น แน่นอนว่าคุณต้องมีสารพัดเครื่องปรุงสไตล์ญี่ปุ่นอยู่ในครัว ซึ่งพ่อครัวแม่ครัวในร้านอาหาร หรือแม้เจ้าของร้านเองก็อาจจะต้องใช้เวลานานในการเรียนรู้และทำความเข้าใจ เพราะฉะนั้นจะเป็นเรื่องง่ายมากกว่าหากจะมีซอสสำเร็จรูปที่คิดค้นสูตรโดยผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงน้ำซุปเข้มข้นที่ใช้สำหรับอาหารญี่ปุ่น ซึ่งซอสปรุงรสทุกตัวผ่านกรรมวิธีคัดสรรวัตถุดิบและกระบวนการผลิตที่มีคุณภาพ ทำให้ได้ซอสปรุงรสรสชาติเข้มข้นในราคาไม่แพง ทำให้ผู้ประกอบการร้านอาหารสามารถ ประหยัดต้นทุน ควบคุมต้นทุนการผลิตได้ ไม่ต้องเสียเวลาทำซอสปรุงรสหรือน้ำซุปเอง ซอสเทริยากิ เทริยากิเป็นชื่อเมนูอาหารที่ปรุงด้วยการนำเนื้อหรือปลามาปรุงสุกแล้วราดด้วยซอสรสหวานๆ เค็มๆ คำว่า เทริ แปลว่า มันเงาเป็นประกาย ซึ่งสื่อถึงจุดเด่นของซอสชนิดนี้ที่ทำให้อาหารดูมันเงาและสวยงาม ซอสเทริยากิสำเร็จรูป พร้อมใช้จาก เอโร่ ผลิตจากซอสถั่วเหลืองที่หมักและผสมผสานกับเครื่องปรุงคุณภาพดี รสชาติที่กลมกล่อม สามารถทาอาหารก่อนนำไปปิ้ง ย่าง โดยไม่ต้องหมัก เมื่อซอสโดนความร้อนจะมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ซึ่งทำให้เมนูย่างนั้นน่าลิ้มลองมากขึ้น หรือจะใช้เป็นซอสราดสำหรับปลาย่าง เนื้อย่าง หมูย่าง และไก่ย่าง ที่ปรุงสุกแล้ว เพิ่มรสชาติความอร่อยให้ได้มากขึ้น สามารถเลือกซื้อ ซอสเทริยากิสำเร็จรูป เอโร่ ได้สะดวกที่ Makro Click คลิกเลย ซอสทงคัตสึ เป็นซอสที่จัดว่าหวานเข้มข้นที่สุดในบรรดาซอสพื้นฐานของญี่ปุ่น รสเค็มปานกลางและมีความเปรี้ยวที่ช่วยตัดเลี่ยนและกระตุ้นความอยากอาหารได้ดี ยังมีกลิ่นหอมของครื่องเทศที่เป็นเอกลักษณ์ นอกจากใช้ทานคู่กับหมูทอดทงคัตสึแล้ว ยังเหมาะสำหรับเมนูอาหารทอดสไตล์ญี่ปุ่น หรือสามารถนำมาใช้เป็นน้ำจิ้มในเมนูอาหารทอดอื่นๆ ได้ ทานคู่กับข้าวสวยร้อนๆ หรือจะทานเล่นก็อร่อยอย่างแน่นอน สามารถเลือกซื้อ ซอสทงคัตสึ เอโร่ ได้สะดวกที่ Makro Click คลิกเลย น้ำซุปปลาแห้ง ถือได้ว่าเป็นพื้นฐานความอร่อยของอาหารญี่ปุ่นในหลายๆ เมนูเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าเป็นเมนูทำง่าย ทานง่ายอย่างเมนูไข่ตุ๋นญี่ปุ่น อุด้ง ราเมน ทาโกะยากิ พิซซ่าญี่ปุ่น ตลอดจนเมนูผัดผัก แกงกะหรี่ เพราะเชฟชาวญี่ปุ่นจะนิยมใช้น้ำซุปปลาแห้งนี้เป็นเสมือน “ซอสปรุงรสหรือเป็นน้ำสต็อกสำหรับปรุงอาหาร” เพื่อเพิ่มความหอม ความเข้มข้นกลมกล่อม และความอร่อยให้กับเมนูนั้นๆ มากยิ่งขึ้น ดังนั้นเอง เราจึงสามารถกล่าวได้เลยว่า หากใครก็ตามที่ต้องการจะเปิดร้านอาหารญี่ปุ่น ก็ต้องให้ความสำคัญกับน้ำซุปปลาแห้งให้มีติดครัวไว้ตลอด เพราะถ้าขาดน้ำซุปปลาแห้งไป รสชาติของอาหารญี่ปุ่น ก็จะผิดเพี้ยน ไม่ได้กลมกล่อม และอร่อยเข้มข้นเหมือนต้นตำรับญี่ปุ่นแท้ๆ นั่นเอง น้ำซุปปลาแห้งสูตรเข้มข้น เอโร่ผลิตจากปลาแห้งที่คัดสรรจากแห่งที่มีคุณภาพดี นำมาปรุงรสชาติด้วยสูตรที่คิดขึ้นโดยเชฟผู้เชี่ยวชาญ มั่นใจได้ว่าจะได้รสชาติกลมกล่อม ความหอมอันเป็นเอกลักษณ์ และความเข้มข้นแท้ๆ แบบต้นตำรับญี่ปุ่น เพียงน้ำไปเจือจางก็พร้อมใช้ได้กับหลากหลายเมนู สามารถเลือกซื้อ น้ำซุปปลาแห้งเข้มข้น เอโร่ ได้สะดวกที่ Makro Click คลิกเลย อยากเปิดร้านอาหารญี่ปุ่น เรียนฟรี! กับคอร์สออนไลน์ สอนโดย เชฟบุญธรรม ภาคโพธิ์ คลิกเลย อ่านบทความวัตถุดิบสำหรับร้านอาหารญี่ปุ่น อีกเพียบ! คลิก กูรูวัตถุดิบ : Up Sell เมนูในร้านด้วยเส้นญี่ปุ่น แซลมอนเฟื่องฟู! กลายเป็นเมนูประจำของคนไทย สิ่งที่ควรรู้ ก่อนเลือกซื้อ“แซลมอน”
Learn moreเมื่อต้องการขยายสาขา ผู้ประกอบการควรคำนึงถึงอะไรบ้าง?
สำหรับผู้ประกอบการร้านอาหารท่านใดที่เปิดร้านมาจนถึงจุดที่ผลประกอบการมั่นคง กำไรสม่ำเสมอ ก็อาจมองไปถึงการขยายสาขาเพื่อต่อยอดความสำเร็จ แต่ก็มีไม่น้อยที่เมื่อขยายสาขาเพิ่มกลับกลายเป็นปัญหาต่อธุรกิจ เกิดผลกระทบต่อทั้งสาขาแรกและสาขาใหม่ เพราะไม่สามารถควบคุมคุณภาพมาตรฐาน และไม่สามารถบริหารจัดการสาขาได้ จนเป็นจุดพลิกผลันของธุรกิจ ผู้ประกอบการท่านใดที่กำลังจะวางแผนขยายสาขามาติดตามกันว่ามีเรื่องใดบ้างที่ต้องให้ความสำคัญ และต้องทำเพื่อให้การขยายสาขาประสบความสำเร็จ แบรนด์และคอนเซ็ปต์ต้องมีความชัดเจน เรื่องแรกที่อยากฝากให้คำนึงถึงเมื่อคิดจะขยายสาขาคือ เรื่องของแบรนด์ดิ้ง และคอนเซ็ปต์ร้านต้องมีความชัดเจนก่อนว่า สาขาที่จะขยายนั้นจะยังคงเป็นแบบสาขาแรก หรือจะมีความแตกต่างออกไปแบบใด ซึ่งหนึ่งปัจจัยที่ต้องนำมาพิจารณาด้วยก็คือ กลุ่มลูกค้าเป้าหมายในทำเลที่วางแผนจะขยายสาขา หากลูกค้าในทำเลที่จะขายออกไปเป็นคนละกลุ่มกับลูกค้าในทำเลแรกก็ต้องดูว่า พฤติกรรมความชอบของลูกค้าเป็นอย่างไร จะยังสามารถใช้คอนเซ็ปต์ร้านสาขาแรกได้หรือไม่ หรือ จะต้องปรับเพื่อให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าในทำเล เพราะไม่จำเป็นว่า สาขาที่สองจะต้องก็อปปี้สาขาแรกมา 100% สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้ตัวตนความเป็น branding ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงจนกลายเป็นคนละแบรนด์ ยกตัวอย่าง เป็นร้านราเมงสาขาที่จะขยายก็ต้องมีความเป็นร้านราเมงอยู่แต่อาจมีเมนูเพิ่มเติม บรรยากาศร้านที่แตกต่างจากสาขาแรก เป็นต้น มาตรฐานต้องนิ่ง มีระบบ ทุกคนปฏิบัติตามได้ มาตรฐานเป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ ในการขยายสาขา หลาย ๆ ร้านที่ขยายแล้วกลายเป็นปัญหา ก็เพราะไม่สามารถคุมมาตรฐานได้ และการจะมีมาตรฐานได้ก็เกิดจากการสร้างคู่มือปฏิบัติงาน หรือ SOP ในแต่ละส่วนขึ้นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นสูตรอาหารแต่ละเมนู ขั้นตอนการทำอาหารแต่ละเมนู ขั้นตอนการเปิดร้าน การปิดร้านในแต่ละวัน ขั้นตอนการให้บริการตั้งแต่ลูกค้ามาจนกระทั่งลูกค้ากลับออกไป พนักงานจะต้องปฏิบัติอย่างไร จะต้องพูดประโยคอะไร จะต้องยิ้มแบบไหน รวมไปถึงชุดยูนิฟอร์มพนักงาน เรียกว่าทุก ๆ แผนก ทุกรายละเอียดจะต้องทำเป็นคู่มือปฏิบัติงานขึ้นมาให้ครอบคลุมทุกส่วนก่อนที่จะขยายสาขา เพื่อให้ทุกสาขาจะได้มีมาตรฐานในการปฏิบัติแบบเดียวกันก็จะทำให้สามารถคุมมาตรฐานได้ สามารถเรียนรู้วิธีควบคุมมาตรฐานการจัดการร้านให้มีคุณภาพสม่ำเสมอ ตั้งแต่การต้อนรับลูกค้า การบริการ การเตรียม การปรุงอาหาร เพื่อให้รสชาติ รวมถึงหน้าตาของอาหารเหมือนเดิมทุกครั้ง และการกำหนดมาตรฐานในการตรวจสอบ ในคอร์สเรียนออนไลน์ฟรี คลิก ตกผลึก Layout ครัวและ Layout ร้านให้เสร็จก่อน เพราะทำเลที่จะขยายไปนั้น ขนาดพื้นที่อาจจะแตกต่างจากสาขาแรก ดังนั้นจำเป็นต้องให้ความสำคัญในเรื่องของ Layout ครัวและ Layout ร้าน โดยเฉพาะ Layout ห้องครัวต้องให้ความสำคัญมาก่อน เช่น เดิมสาขาแรกขนาดพื้นที่ครัวอาจจะมีพื้นที่มาก ทำให้สามารถออกหลายเมนู มีเมนูเป็นร้อยได้ แต่มาทำเลใหม่พื้นที่ครัวอาจมีขนาดเล็กลงก็ต้องสรุปให้ลงตัวว่าจะมีกี่เมนู เพื่อให้การทำงานในครัวไม่ติดขัด อาหารออกได้เร็ว หรือถ้าพื้นที่ใหญ่ขึ้นก็ต้องวางแผนว่าเพิ่มเติมอุปกรณ์อะไรเข้ามา จะวางตำแหน่งต่าง ๆ แบบไหนเพื่อให้เกิดโฟลว์การทำงาน ส่วนของ Layout ร้านก็เช่น ต้องมีการกำหนดผังการทำงานว่าจะให้มี Station อะไรบ้าง จะวางโต๊ะแบบไหน โต๊ะ 2 โต๊ะ 4 โต๊ะ 6 โต๊ะ 8 จำนวนเท่าไหร่ เพื่อให้สามารถเคลื่อนยายสลับปรับเพิ่มได้สะดวกเมื่อถึงเวลาต้องใช้งาน เป็นต้น สามารถเรียนรู้วิธีการออกแบบครัวให้เหมาะสมกับร้านด้วยตัวคุณเอง ซึ่งจะสอนรูปแบบครัวมาตรฐานของร้าน การจัดการพื้นที่ในครัว แม้มีงบน้อยก็ไม่หวั่น อยากขายดี อยากขยายสาขา ต้องใส่ใจในการวางระบบของห้องครัวให้ถูกต้อง คลิกเรียนฟรีได้เลย https://makrohorecaacademy.com/courses/kitchen-design/ จัดทำลิสต์รายการอุปกรณ์ที่ต้องซื้อ ต้องใช้ อย่าคิดว่าไม่สำคัญ การทำลิสต์รายการสินค้าหรืออุปกรณ์ต่าง ๆ เพราะเกิดปัญหามานักต่อนักแล้ว เปิดร้านมาหาอะไรก็ไม่เจอ อุปกรณ์ไม่พร้อม ทำให้งานสะดุด ดังนั้น อย่าลืมทำลิสต์รายการอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จะต้องใช้ทั้งส่วนในครัว หน้าร้าน ในห้องน้ำ ทุกจุด ทำเป็นเช็คลิสขึ้นมาเพื่อให้ทุกอย่างมีความพร้อม ประเด็นนี้ขอฝากเป็นหมายเหตุไว้สักหน่อย ก่อนที่จะออกไปหาซื้ออุปกรณ์ตามที่ลิสต์ควรกลับไปดูสาขาแรกสักนิดว่า มีอุปกรณ์อะไรบ้างที่เคยซื้อมาแล้วเหลืออยู่ไม่ได้ใช้งานและเป็นรายการเดียวกับในลิสต์รายการต้องซื้อเข้าสาขาใหม่ ก็ให้นำมาใช้จะได้ประหยัดงบ เพราะมีอยู่บ่อย ๆ ที่ขยายสาขาทีไรก็ซื้อเข้ามา ๆ แต่ไม่ได้ใช้ มันน่าเสียดายนะ เตรียมความพร้อมเรื่องพนักงาน ข้อนี้เป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญมาก ๆ ที่ต้องวางแผนให้ดี เพราะอาจเป็นปัญหาได้ทั้งการเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็นคือ รับสมัครพนักงานมาก่อนเวลานานเกินไป หรือ พนักงานไม่พอ เพราะรับสมัครมาช้าเกินไป จึงต้องมีการวางแผนรับสมัครงานก่อนเปิดสาขาใหม่ เช่น ที่การรับสมัครพนักงานทุกตำแหน่งเข้ามาล่วงหน้าก่อนเปิดร้าน 60 วัน เพราะกลัวว่าถ้ารับมาช้าจะไม่มีเวลาในการเทรนนิ่งพนักงาน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นและทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการจ้างงานโดยใช่เหตุ ควรเลือกรับเข้ามาก่อนในบางตำแหน่ง เช่น ผู้จัดการร้าน หัวหน้าครัว สามารถรับมาก่อนเปิดร้าน 60 วันได้ เพื่อให้เขามาช่วยเราจัดการงานต่อ ส่วนพนักงานครัวรับเข้ามาก่อนเปิดร้าน 30 วันก็เพียงพอ เพราะเรามีมาตรฐานสูตรอยู่แล้วเพียงแค่พนักงานมาฝึกทำให้รู้จักคุ้นเคยกับเมนูของร้านกับระบบในห้องครัว ส่วนพนักงานบริการรับเข้ามาก่อนเปิดร้าน 15 วันก็ยังได้ เพราะเรามีคู่มือมาตรฐานการทำงานแล้วช่วยให้การเทรนนิ่งทำได้เร็วขึ้นนั่นเอง ก็จะเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนของพนักงานก่อนเปิดร้านไปได้ระดับหนึ่ง และถ้าผู้ประกอบการท่านใด อยากเรียนรู้วิธีบริหารพนักงานอย่างมืออาชีพ รวมถึงเทคนิคในการบริหารพนักงาน, การจัดหาพนักงานและจำนวนที่เหมาะสมกับร้าน, ความแตกต่าง Service Charge กับ Incentive, ผลร้ายของการปรับเงินพนักงาน ไปจนถึงการจัดการระบบพนักงานและการเลื่อนขั้น คลิกเรียนฟรีได้ที่นี่ โดยรวมก็ประมาณนี้ สำหรับข้อควรคำนึงถึงเมื่อต้องการขยายสาขา ซึ่งเป็นจุดสำคัญ ๆ ที่สามารถส่งผลกระทบต่อการทำงานให้การเปิดสาขาใหม่ราบรื่นไม่เกิดปัญหาใหญ่ ๆ ตามมา นั่นเอง คลิกอ่านบทความที่น่าสนใจได้ที่นี่ มือใหม่เปิดร้าน วางแผนการสั่งวัตถุดิบ ต่อเดือนอย่างไร ไม่ให้ต้นทุนเข้าเนื้อ ! ขายอาหารเหนื่อย ไม่มีเวลาทำบัญชี แก้ปัญหานี้อย่างไร แก้ปัญหา รสชาติเพี้ยน จำสูตรไม่ได้ ด้วยการทำ S.O.P ให้เป๊ะ ธุรกิจรุ่ง! เทคนิคยืดอายุวัตถุดิบ กันเงินไหล ให้ร้านไปรอด จาก เชฟวิลเมนต์ ลีออง เปิดร้านอาหาร เริ่มต้นส่งภาษีอย่างไร คลิกอ่านบทความน่ารู้ จากแม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี มือใหม่เปิดร้านอาหาร การจัดการร้านอาหาร การตลาดเพื่อธุรกิจร้านอาหาร บทสัมภาษณ์และรีวิว การเลือกวัตถุดิบและอุปกรณ์ สูตรอาหาร ZERO FOOD WASTE
Learn moreทำ Content อาหารอย่างไรให้น่ากิน เล่าเรื่องร้านอย่างไร ให้ขายดี
ร้านอาหารหลายร้านมักจะคิดว่า การทำการตลาดออนไลน์บนสื่อโซเชียลคือการโพสต์รูปอาหาร แจ้งข่าวโปรโมชั่น และเมนูแนะนำก็พอ แต่ถ้าเราทำเช่นนั้น ลูกค้าจะมองว่าเพจของเราเป็นเพียงเพจที่โฆษณาขายของทั่วไป ซึ่งแน่นอนว่าคงไม่มีใครอยากดูโฆษณาเท่าไหร่นัก วันนี้ MHA ขอนำเสนอเทคนิคในการทำ Content Marketing ด้วยการเล่าเรื่อง หรือที่เรียกกันว่า Story telling ร้านอาหาร ที่จะช่วยให้ลูกค้ารู้สึกอยากติดตาม และอยากใช้บริการร้านอาหารของเรามากขึ้นอีกด้วย ทำไมต้องเล่าเรื่องร้านอาหาร 1. สามารถสร้างความแตกต่างระหว่างร้านเรากับร้านอื่นได้เป็นอย่างดี แม้ว่าการถ่ายภาพ การคุมโทนสี การใส่โลโก้หรือเอกลักษณ์ของร้านลงไปในรูปภาพที่เราลงโปรโมทในสื่อโซเชียล จะเป็นการสร้างความต่างอยู่แล้ว แต่การเล่าเรื่องที่ดี จะช่วยให้ลูกค้าเข้าใจจุดต่างนั้นได้อย่างชัดเจน และรู้จักตัวตนของร้านเรามากขึ้น 2. ตามหลักจิตวิทยาแล้ว คนเราชอบที่จะคุยกับคนด้วยกัน มากกว่าการคุยกับเครื่องมือหรือระบบอัตโนมัติต่าง ๆ การเล่าเรื่องเป็นการจำลองการพูดคุยระหว่างร้านอาหารกับลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย เป็รการสร้างปฏิสัมพันธ์หรือความสัมพันธ์อันดีเบื้องต้นกับลูกค้า 3. นักเล่าเรื่องที่ดีจะสามารถสร้างการติดตาม และการเปิดรับข่าวสารโปรโมชั่นต่าง ๆ ของทางร้านได้ โดยที่ลูกค้าไม่รู้สึกว่าถูกยัดเยียดการขาย นั่นหมายถึง เนื้อหาของร้านเราจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของ Content ที่ลูกค้าต้องเปิดรับเป็นประจำ รวมถึงนำไปสู่การ Like และ Share เพื่อเพิ่มยอดผู้เข้าถึงสื่อได้อีกเป็นจำนวนมาก เริ่มต้นอย่างไรในการเล่าเรื่องร้านอาหาร 1. กำหนดคาแรคเตอร์ของร้านอาหาร (Characteristic) ให้ลองคิดดูว่า ถ้าร้านอาหารของเราเป็นคน จะเป็นคนประเภทไหนเช่น ร้านส้มตำ รักบ้านเกิด กำหนดคาแรคเตอร์ร้านเป็น คนซื่อ ๆ พูดอะไรตรงไปตรงมา การกำหนดคาแรคเตอร์นี้ จะช่วยให้เรากำหนดแก่นของการเล่าเรื่อง อารมณ์ ลีลาในการเล่าเรื่องได้อย่างไม่ขัดเขินกับภาพลักษณ์ร้านค้าของเรานั่นเอง และถ้าคาแรคเตอร์ที่เรากำหนดขึ้นมานั้นสามารถสื่อสารได้ดี ลูกค้าเข้าใจ เรายังสามารถนำคาแรคเตอร์นั้นไปใช้ในงานออกแบบต่าง ๆ เช่น มาสคอตร้าน โลโก้ร้าน ในอนาคตได้อีกด้วย Tip: หากนึกไม่ออกว่าร้านอาหารของเราควรใช้คาแรคเตอร์ใด ให้ลองพิจารณาจากลักษณะคาแรคเตอร์ของเจ้าของร้าน และนำมาสร้างเป็นคาแรคเตอร์ร้านก็ได้ หรือจะตัดเอาลักษณะเฉพาะของเจ้าของร้านบางส่วนมาใช้เป็นคาแรคเตอร์ หรือพิจารณาจากลูกค้าที่มาใช้บริการเป็นหลักก็ได้ 2. กำหนดข้อความหลักของร้าน (Key Message) ในการทำคอนเทนต์แต่ละครั้ง เนื้อหาควรจะเป็นไปในทิศทางหลักทางเดียวกัน การกำหนดทิศทางหลักของคอนเทนต์ทั้งหมดนี้เราเรียกกันว่าการกำหนด Key Message ของร้าน เช่น ร้านอาหารที่มีจุดเด่นที่สูตรอาหารเฉพาะ ตกทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น สามารถเล่าเรื่องความเป็นมาของร้าน ของสูตรอาหาร เรื่องราวสมัยโบราณ หรืออาจจะเล่าเรื่องปัจจุบันได้บ้าง แต่ต้องไม่ถึงขนาดเล่าเรื่องในสไตล์โมเดิร์นแบบร้านอาหารสมัยใหม่ ซึ่งจะทำให้คาแรคเตอร์ที่กำหนดเอาไว้ผิดเพี้ยนไปในความรู้สึกของลูกค้า การกำหนด Key Message ที่ดีจะต้องฟังแล้วรู้สึกว่า 1. มันใช่! ร้านนี้เป็นแบบนี้แหละ 2. มันโดน! นี่แหละคือสิ่งที่ลูกค้าต้องการจากร้าน โดย Key Message ควรจะกำหนดไว้แบบสั้นๆ กระชับ ได้ใจความ และสื่อสารตัวตนของร้านได้เป็นอย่างดี Tip: หากเรานำ Key Message มาขัดเกลาให้คำสวยงามขึ้น เราจะได้สโลแกนของร้าน Caption รวมถึง #Hashtag ไว้ใช้ในงานทำ Content อื่น ๆ ต่อไป โดยร้านอาจสร้างเป็นสโลแกนร้านไปในคราวเดียวกันนี้เลยก็ได้ Credit เพจ Facebook : อีเหมียวปีนตู้กับข้าว 3. กำหนดอารมณ์และลีลาในการเล่าเรื่อง อารมณ์และลีลาจะเป็นตัวกำหนดลักษณะการใช้ภาษาในการเล่าเรื่อง และถ่ายทอดความเป็นตัวตนของร้านออกมาเป็นลีลาเฉพาะตัว มักจะใช้ความสนุก ดูอบอุ่น เป็นกันเองในการเล่าเรื่อง หรือบางร้านที่มีลักษณะเฉพาะตัวหรือเล่นมุกตามมีมที่ดังอยู่ในขณะนั้น ดังนั้นในการเล่าเรื่องแต่ละครั้งจึงมีเนื้อหาออกมาสนุกสนานแบบกวน ๆ เล่นมุกตลกบ้าง แต่ก็ยังเชื่อมโยงกับร้านได้ Credit เพจ Facebook : อีเหมียวปีนตู้กับข้าว Tip: คนไทยชอบสนุก! การเล่าเรื่องสนุกสนาน หรือเล่าเรื่องให้คนอ่านรู้สึกขำ สามารถเข้าถึงคนอ่านได้มากกว่า แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเล่าเรื่องขำตลอดทุกครั้งไป ให้ขึ้นอยู่เรื่องนั้น ๆ ที่จะนำเสนอแต่ละครั้งด้วย 4. กำหนดตารางเนื้อหาในแต่ละช่วงเวลา ว่าเราจะลงเนื้อหาอะไรบ้าง โดยการเล่าเรื่องอาจกำหนดไว้เป็นสัปดาห์ละ 1-2 เรื่องก็ได้ ตามแต่ละร้านจะสะดวก ทั้งนี้ขอให้ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ เปิดเพจร้านแต่ไม่รู้จะโพสอะไรดี เล่าเรื่องอะไรของร้านดีนะ และเล่าจะเรื่องแบบไหนให้น่าอ่าน 1. ลองเริ่มจาก เมนูใดเมนูหนึ่งของร้าน โดยเฉพาะเมนูที่เป็น จานเด็ดของร้าน ลองเล่าถึงส่วนผสม วัตถุดิบ วิธีการปรุง วิธีการทานให้ได้รสชาติดีที่สุด ยิ่งเล่าให้รู้สึกถึงความตั้งใจในการทำเมนูนี้ เพื่อให้ลูกค้าทุกคนได้ทานอาหารที่ดีที่สุดจากทางร้าน และบรรยายถึงรสชาติ จะทำให้น่าสนยิ่งขึ้นไปอีก รูปแบบ Content : ควรเป็นอัลบั้มภาพหรือคลิปวิดีโอสั้นเมนูนั้น แล้วเขียน Caption ประกอบแบบไม่เกิน 250 - 300 คำ รูปแบบการเล่าเรื่อง : ขึ้นอยู่กับลีลาการเล่าเรื่องของแต่ละร้าน แต่พยายามใช้การพรรณนาแบบให้เห็นภาพในสิ่งที่ภาพไม่ได้นำเสนอ เช่น รสชาติ กลิ่น รสสัมผัส อาจใช้ภาษาที่ดูโอเวอร์ขึ้นมานิดหน่อยได้ เพื่อสร้างอรรถรสในการอ่าน ยกตัวอย่าง (ในที่นี้ จะยกตัวอย่างเป็นตารางการลง Content พร้อมรายละเอียด) 2. ที่มาของร้านก็สามารถนำมาเล่าได้ หลายคนสงสัยว่าถ้าร้านที่ไม่มีอดีตยาวนาน หรือไม่มีเรื่องราวให้เล่าจะเล่าที่มาของร้านได้อย่างไร อันที่จริงแล้วเราสามารถ Story ได้จากองค์ประกอบหลายอย่าง เช่น ก่อนที่จะมาเปิดร้านนี้เจ้าของร้านทำอะไรมาก่อนและมีความสนใจอะไรจึงเปิดร้านนี้ และมีแนวทางในการทำร้านอย่างไร หรือถ้าไม่มีเรื่องราวในอดีตลองมองไปข้างหน้าก็สามารถนำมาสร้างเป็นเรื่องเล่าของร้านได้ เช่น เป้าหมายของร้าน ความสุขที่อยากจะแบ่งปันให้กับลูกค้าได้รับ รูปแบบ content : ภาพเจ้าของ ผู้ก่อตั้ง ภาพเก่าของร้าน ภาพร้านปัจจุบัน ป้ายร้าน มุมที่เป็น Signature ของร้าน เป็นภาพชุดประกอบการเล่าเรื่อง ไม่เกิน 250-300 คำ แล้วแต่รูปแบบ รูปแบบการเล่าเรื่อง : ถ้าเป็นร้านที่มีประวัติการสืบทอด ให้ใช้การเล่าเรื่องแบบบรรยาย ผสมกับการพรรณาถึงการสืบทอด ส่งต่อความอร่อยจากรุ่นสู่รุ่น ไปยังลูกค้าตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน หรือถ้าเป็นร้านใหม่ให้ลองเล่าที่มา และประเด็นหลักที่สร้างความแตกต่างให้กับร้านของตนเอง ยกตัวอย่าง 3. เกร็ดความรู้เกี่ยวกับอาหาร โดยเฉพาะเมนูของร้าน ทั้งนี้เราสามารถเล่าได้ตั้งแต่ คุณประโยชน์ของแต่ละเมนู ประโยชน์ของส่วนผสม ความเป็นมากว่าจะได้วัตถุดิบนี้มา การเล่าเรื่องแบบนี้จะทำให้ผู้อ่านรู้สึกอยากติดตามมากขึ้น เพราะได้ประโยชน์จากการอ่าน Content ของเรา ในส่วนนี้เราสามารถเล่าเป็นเรื่องยาว หรือปรับให้อยู่ในรูปแบบ Content สั้นประกอบภาพก็ได้ เพื่อเพิ่มความถี่ในการลง Content ของเราในแต่ละสัปดาห์ รูปแบบ content : Infographic หรือ ภาพที่เกี่ยวข้อง ประกอบกับ Caption ไม่เกิน 250-300 คำ แต่ถ้าใช้ Infographic ก็สามารถลดเนื้อหาลงได้อีก แล้วจึงโยงเข้าสู่เมนูของทางร้าน รูปแบบการเล่าเรื่อง : -รู้หรือไม่? -สิ่งที่คนเข้าใจผิด…. -ประโยชน์จาก....... เป็นการเล่าเรื่องที่มีสารประโยชน์ โดยอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ แต่ไม่เล่าในเชิงวิชาการจนเกินไป ให้ใช้อารมณ์และลีลาแบบเดิม แต่เพิ่มความเป็นทางการเข้าไป อย่าลืมอ้างอิง ด้วยการลง link ของแหล่งข้อมูลที่ค้นมาด้วย ยกตัวอย่าง คงไม่ยากกันเกินไป สำหรับการเล่าเรื่องร้านและเมนูอาหาร สำหรับ Story ใน 3 หมวดใหญ่ที่แนะนำไปนั้น เรายังสามารถแตกย่อยเนื้อหาเป็นตอน หรือสร้างเนื้อหาที่เกี่ยวข้องได้อีกมากมายเลยทีเดียว อันที่จริงแล้วยังมีเนื้อหาอีกมากที่เราสามารถนำมาเล่าได้ ไม่ว่าจะเป็น เทศกาล ความเชื่อ สถานการณ์ปัจจุบัน หรือแม้แต่วาระฉลองครบรอบต่าง ๆ ก็ทางร้านก็สามารถนำมาเป็นเรื่องเล่าได้ ทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่าวัตถุประสงค์ในการเล่าเรื่องคือการทำการทำ Content Marketing รูปแบบหนึ่ง ที่มีเป้าหมายในการโปรโมทร้านของเราให้เป็นที่รู้จัก ดังนั้นต้องไม่ลืมการเชื่อมโยงมายังร้านอาหารของเรา เชื่อมโยงมายังเมนูอาหาร หรือแม้แต่เพิ่มข้อมูลการสั่งอาหารเข้าไปในเนื้อหาตอนท้ายก็ได้ แล้วกลับมาพบเนื้อหาการตลาดออนไลน์จาก MHA ได้ใหม่ในตอนต่อไป คลิกอ่านบทความน่ารู้ จากแม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี มือใหม่เปิดร้านอาหาร การจัดการร้านอาหาร การตลาดเพื่อธุรกิจร้านอาหาร บทสัมภาษณ์และรีวิว การเลือกวัตถุดิบและอุปกรณ์ สูตรอาหาร ZERO FOOD WASTE
Learn moreสิทธิพิเศษ เฉพาะสมาชิกแม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี
สมัครสมาชิกแม็คโคร โฮเรก้า อครเดมี รับโปรฯ แรง ฟรี 4 ต่อ! 1. สามารถซื้อสินค้าในราคาพิเศษ และสิทธิพิเศษอีกมากมาย เพื่อผู้ประกอบการร้านอาหาร 2. อบรมสัมนา และเข้าร่วมกิจกรรม Workshop จากกูรูและเชฟชื่อดังฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย 3. อัพเดตสูตรอาหารจากเชฟมืออาชีพทุกสัปดาห์ ผ่านช่องทาง Facebook และ YouTube ต่อยอดไอเดีย เพิ่มกำไรร้านคุณ 4. สามารถเรียนคอร์สออนไลน์ในการทำธุรกิจร้านอาหารครบวงจรฟรี! ดาวโหลดแอพพลิเคชั่นผ่านทาง App Store และ Play Store ได้แล้ววันนี้ ส่งตรงข่าวสาร โปรโมชั่นพิเศษ รวมถึงกิจกรรมจากทางแม็คโครก่อนใคร รวมถึงสินค้า Makro ราคาพิเศษ, แค็ตตาล๊อกสินค้า, ค้นหาสาขาแม็คโครใกล้บ้าน สั่งซื้อสินค้าออนไลน์ และอ่านบทความน่ารู้ เพื่อผู้ประกอบการร้านอาหาร จากแม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี Click Download Click Dowload
Learn moreรวมสูตรเมนูสร้างอาชีพ อีกหนึ่งทางเลือกสร้างรายได้ ทำขายรวย!
วิกฤตที่ผ่านมา ทำให้เศรษฐกิจไทยถดถอยต่อเนื่องแม้จะผ่านช่วงคลายล็อกดาวน์แล้วก็ตาม ส่งผลให้อัตราว่างงานไทยเพิ่มสูงขึ้น 1.95% นับเป็นอัตราสูงที่สุดในรอบ 11 ปี และมีแรงงานที่ต้องหยุดงานชั่วคราวถึง 2.5 ล้านคน สูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากตัวเลขนี้บ่งบอกให้เรารู้ว่า สถานการณ์นี้อาจทำให้บางท่านหางานหายากขึ้น รายได้น้อยลง แต่รายจ่ายคงเดิม วันนี้เรามีเมนูสร้างอาชีพ ลงทุนน้อย กำไรงาม เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกเสริม สร้างรายได้ให้กับคุณ หมูทอดเชียงราย สร้างรายได้เสริม กับเมนูทานง่าย ขายคล่อง อย่างเมนูหมูทอดเชียงราย ทานคู่กับข้าวเหนียวร้อนๆ อิ่มอร่อยรองท้องได้ทุกมื้อ เคล็ดลับอยู่ที่สูตรหมักหมูต้องอร่อย และหลังทอดหมูต้องมีความกรอบนาน ด้วยน้ำมันปาล์มทับทิม สามารถทนความร้อนสูง จะทำให้หมูทอดเชียงรายของเรากรอบนาน ลูกค้าทานแล้วติดใจทุกคน ส่วนผสม หมูสามชั้นหั่นเส้นบาง 500 กรัม ซอสปรุงรส 2 ช้อนโต๊ะ แป้งทอดกรอบ 30 กรัม แป้งข้าวเจ้า 20 กรัม น้ำปูนใส 100 กรัม รากผักชีกระเทียมพริกไทยโขลก 1 ½ กรัม ผงปรุงรส 2 ช้อนโต๊ะ ทับทิม น้ำมันปาล์ม (สำหรับทอด) คลิกดูวิธีการทำได้ที่นี่ 2. หมูปิ้งรสดี ใครที่กำลังมองหาสูตรหมูปิ้งอร่อยๆ ให้มาทางนี้! เชฟโอ๋แชร์สูตรเด็ด พร้อมเคล็ดลับหมักหมูให้นุ่มละลายในปาก ด้วยผงปรุงรสดีเมนูหมักย่าง ไม่เพียงแต่ได้รสชาติอร่อยเท่านั้น ผงปรุงรสดีจะช่วยเพิ่มกลิ่นหอมให้กับหมูปิ้ง ขายที่ไหน หอม อร่อยยั่วลูกค้าที่นั่น ส่วนผสม รสดีเมนู หมักย่าง 60 กรัม รากผักชี 30 กรัม น้ำตาลมะพร้าว 140 กรัม ซีอิ๊วดำ 2 ข้อนชา น้ำมันถั่วเหลือง 4 ช้อนชา เกลือป่น 1 ช้อนชา นมข้นจืด 1 ถ้วยตวง สะโพกหมู 1 กิโลกรัม มันหมูชิ้น 200 กรัม คลิกดูวิธีการทำได้ที่นี่ 3. ยำแหนมข้าวทอด เอาใจผู้ประกอบการ ที่อยากมีเมนูทำง่ายขายดี “ยำแหนมข้าวทอด” อาหารรองท้องที่มีรสชาติจัดจ้าน ถูกปากคนไทย โดยมีแหนมเป็นวัตถุดิบหลักที่ชูรสเปรี้ยว และข้าวหอมผสม 70% ตราฉัตร(หุงสุก) นำมาคลุกพริกแกงให้มีรสเผ็ด แถมยังได้ความหอม นุ่ม อร่อยจากข้าว ราคาประหยัด ช่วยลด Cost ในร้านไปได้อีกเยอะ ส่วนผสมสำหรับข้าวทอด (ลูกละ 100 กรัม 3 ลูก) ข้าวหอมผสม 70% ตราฉัตร(หุงสุก) 250 กรัม น้ำพริกแกงเผ็ด 40 กรัม ไข่ไก่ 1 ฟอง ใบมะกรูด 3 กรัม แป้งทอดกรอบ 50 กรัม แป้งข้าวจ้าว 50 กรัม น้ำปูนใส 120 กรัม น้ำมันปาล์ม 2 ลิตร ส่วนผสมสำหรับยำ น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา น้ำปลาแท้ 1 ช้อนโต๊ะ น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ พริกป่น ½ ช้อนชา พริกขี้หนูสวนซอย 2 เม็ด หอมแดงซอย 5 กรัม แหนมแท่ง 30 กรัม หนังหมูต้มหั่นเป็นเส้น 30 กรัม ขิงซอย 5 กรัม ผักชีใบเลื่อนซอย 5 กรัม ต้นหอมซอย 5 กรัม พริกแห้งทอด 2 เม็ด ใบสะระแหน่ 5 กรัม ถัวลิวงอบ 10 กรัม คลิกดูวิธีการทำได้ที่นี่ 4. ขนมจีบหมู สายติ่มซำห้ามพลาด กับเมนูขนมจีบ ทำกินง่าย ทำขายรวย! หมูต้องอร่อยเด้งสู้ฟัน ใส่ใจตั้งแต่ขั้นตอนการหมักหมูให้นุ่ม ได้คุณภาพ ด้วยซอสหอยเข้มข้นตราเด็กสมบูรณ์ และเพิ่มความหอม อร่อยกลมกล่อม เพียงเหยาะซีอิ๊วขาวสูตร 1 ตราเด็กสมบูรณ์ลงไป วิธีการทำไม่ยุ่งยาก ใช้เวลาไม่นาน สามารถทำขายได้เลย ส่วนผสม (สำหรับ 30 ลูก) เด็กสมบูรณ์ ซอสหอยเข้มข้น 2 ช้อนชา เด็กสมบูรณ์ ซีอิ๊วขาว สูตร 1 2 ช้อนชา เด็กสมบูรณ์ ซอสจิ๊กโฉ่ว หมูเด้ง 250 กรัม มันหมูบด 100 กรัม หมูบด 200 กรัม ไข่ขาว 1 ฟอง น้ำตาลทราย 15 กรัม เกลือป่น 5 กรัม น้ำมันงา 2 ช้อนชา แป้งมันสำปะหลัง 15 กรัม แผ่นเกี๊ยว 30 แผ่น เห็ดหอม 2 ดอก คลิกดูวิธีการทำได้ที่นี่ ยังมีเมนูสร้างรายได้อีกเพียบ สามารถอัพเดตเมนูใหม่ๆ จากเรา ได้ทาง Facebook : แม็คโครโฮเรก้าอคาเดมี และ YouTube : MakroHoReCaAcademy เมนูอาชีพพารวย ข้าวเหนียวไก่ทอด ข้าวเหนียวหมูปิ้ง ข้าวไข่เจียว ขนมปังปิ้ง 7 หน้า เครื่องดื่มเย็นใส่ขวด เฟรนฟรายเช็ค พิซซ่า คลิกอ่านบทความน่ารู้ จากแม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี มือใหม่เปิดร้านอาหาร การจัดการร้านอาหาร การตลาดเพื่อธุรกิจร้านอาหาร บทสัมภาษณ์และรีวิว การเลือกวัตถุดิบและอุปกรณ์ สูตรอาหาร ZERO FOOD WASTE
Learn more5 ลูกเล่น “Robinhood” ดีต่อธุรกิจ ที่เจ้าของร้านอาหารต้องรู้
เปิดตัวแอปให้ใช้บริการแบบกึ่งทางการแล้วสำหรับ “Robinhood” แอปฟู้ดเดลิเวอรี่น้องใหม่ล่าสุดจากค่ายบริษัท เอสซีบี เท็นเอกซ์ จำกัด ในเครือของ SCB ธนาคารไทยพาณิชย์ ที่ล่าสุดทางผู้บริหารให้ข้อมูลว่า มีจำนวนร้านอาหารเข้าร่วมกับทางแอปประมาณ 1.6 หมื่นร้าน (26 ต.ค. 2563) ซึ่งในจำนวนนี้มีกร้านเล็ก ๆ ที่ไม่มีอยู่ในแอปฟู้ดเดลิเวอรี่อื่น ๆ รวมด้วย นั่นเพราะว่า หนึ่งในจุดเด่นของ “Robinhood” ที่หลายคนฮือฮาก็คือ ไม่มีการเก็บค่า GP ทำให้เป็นโอกาสของร้านเล็ก ๆ ที่ไม่ไหวกับค่า GP สามารถเข้าร่วมได้ เรามาย้ำกันอีกสักครั้งถึงจุดเด่นที่น่าสนใจของ “Robinhood” สำหรับมุมมองผู้ประกอบการร้านอาหาร ว่ามีอะไรบ้าง 1. ไม่เก็บค่าธรรมเนียมการใช้แพลตฟอร์ม (GP) เป็นหนึ่งในจุดเด่นที่คนทำร้านอาหารรอคอย เพราะในช่วงวิกฤตโควิดที่ผ่านมา การเก็บค่า GP ของผู้ให้บริการแอปฟู้ดเดลิเวอรี่ กลายเป็นประเด็นถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง ถึงความเหมาะสมของอัตราการเก็บ แล้วจู่ ๆ ก็มีข่าวเปิดตัว “Robinhood” ประกาศตัวไม่เก็บค่า GP เพื่อต้องการให้เป็นแพลตฟอร์ม “ช่วยคนตัวเล็ก” ให้ผู้ประกอบการทุกรายสามารถเข้าถึงโอกาสช่องทางการขายเดลิเวอรี่ได้ ซึ่งกำลังเป็นช่องทางที่มีการเติบโตสูง นี่จึงเป็นจุดเด่น และก็เป็นการบ้านหนักให้กับทางแอปฯ ไปพร้อมกัน ว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้แข่งขันกับกลยุทธ์ฟรีค่าส่งของแอปค่ายเจ้าตลาดได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรการไม่เก็บค่า GP ก็เป็นโอกาสที่ดีของทางร้าน 2. เงินสดเข้าร้านทันทีภายใน 1 ชั่วโมง ถ้าการไม่เก็บค่า GP ถือว่าเจ๋งแล้ว ข้อ 2 นี้ยิ่งเจ๋งกว่าเพราะเรื่องกระแสเงินสดถือว่ามีความสำคัญอย่างมากต่อคนทำร้านอาหาร SME การที่ทางแอปประกาศไว้ในเงื่อนไขว่า หลังจากออเดอร์ส่งถึงลูกค้าภายใน 1 ชั่วโมง เงินจะเข้าบัญชีร้านทันที จุดนี้ถือว่าชนะเลิศ เพราะเรื่องของการโอน การจ่าย ถือเป็นของง่ายสำหรับระบบอย่าง SCB อยู่แล้ว เอาจุดแข็งส่วนนี้ของเครือข่ายตัวเองมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ ได้ใจไปเลย แต่ไม่แน่ใจว่า ทางระบบมีเงื่อนไขอื่น ๆ สำหรับผู้ประกอบการที่เปิดร้านอาหารหลายสาขาหรือไม่ อย่างไรก็ตามเราควรศึกษาเงื่อนไขให้ครบถ้วนก่อนใช้บริการแพลตฟอร์ม 3. มีทีมงานช่วยเหลือร้านค้าในการใช้งานแอพ หนึ่งปัญหาที่เป็นอุปสรรคในการเข้าถึงโอกาสตลาดเดลิเวอรี่ของร้านเล็ก ๆ ที่ขออนุญาตเรียกว่าร้านบ้าน ๆ ก็คือ เจ้าของกิจการขาดทักษะในการใช้เทคโนโลยี จะสมัคร จะลงทะเบียนเจอขั้นตอน วิธีการมากมายก็ถอดใจ “Robinhood” เห็นปัญหานี้จึงเตรียมทีมงานไว้สำหรับให้การช่วยเหลือผู้ประกอบการ ซึ่งคิดว่าต่อไปแค่เดินไปธนาคารไทยพาณิชย์ขอให้เจ้าหน้าที่ช่วยจัดการก็เรียบร้อย ไม่เพียงเท่านั้น ทางแอปฯ เตรียมทีมงานที่จะค่อยช่วยลงภาพเมนู แต่งภาพเมนู คิดแคปชั่นโดน ๆ รวมถึงช่วยเขียนแนะนำเมนูให้ใครเห็นก็ต้องหยุดสนใจด้วย 4. มีเครื่องมือที่จะช่วยกระตุ้นการขายนอกช่วงเวลาที่ร้านขายดี ข้อนี้ได้ฟังตอนแรกก็ยังสงสัยว่าทางแอปฯ จะทำอย่างไร เมื่อศึกษารายละเอียดแล้วสรุปได้ว่า ทางแอปฯ จะนำเอา Dynamic Delivery Pricing เข้ามาช่วยวิเคราะห์และกระตุ้นให้ลูกค้าสั่งอาหารนอกเวลาที่ร้านขายดีอยู่แล้ว โดยการจูงใจด้วยราคาส่งลดพิเศษ หรือ กลยุทธ์อื่น ๆ ที่จะตามมา 5. ใช้โซลูชั่นที่ SCB มีอยู่ให้เป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ ข้อนี้ถือว่า Win Win ระหว่างทางแอปฯ และผู้ประกอบการ ในการนำเอาเครื่องมือ ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ มาเชื่อมโยงเข้ากับแอปเพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ บริการต่าง ๆ ที่ธนาคารมีอยู่ มาผลักดันการชำระเงินแบบดิจิทัลเพย์เมนต์อย่างสมบูรณ์ ลูกค้าสามารถเลือกชำระค่าอาหารผ่านการตัดบัญชีใน SCB EASY หรือตัดบัตรเครดิต บัตรเดบิต บัตรเติมเงิน ชีวิตง่าย จ่ายสะดวกขึ้น และแน่นอนคงจะรวมไปถึงโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่ง่ายขึ้นด้วย โดยในปี 2563 ให้บริการทุกพื้นที่ใน กรุงเทพฯ สมุทรปราการ นนทบุรี รวมถึง ปทุมธานี เฉพาะบางพื้นที่ในจังหวัดสมุทรสาคร (อำเภอเมืองและกระทุ่มแบน) เฉพาะบางพื้นที่ในจังหวัดนครปฐม (อำเภอนครชัยศรี พุทธมณฑล และบางเลน) โดยจะพิจารณาขยายพื้นที่ในระยะต่อไป ซึ่งหากผู้บริการท่านใดยังไม่ได้สมัครเข้าร่วมแอปสามารถเข้าไปดูรายละเอียดวิธีการสมัครได้ที่ www.robinhood.in.th คลิกอ่านบทความอื่น ๆ ได้ที่นี่ ผ่าน App Food Delivery หรือขี่มอเตอร์ไซต์ส่งเอง แบบไหนดีกว่ากัน? ต้นทุนแฝงและปัญหาที่ตามมาเมื่อเข้าระบบ Delivery ถ้าไม่รู้ร้านพัง! การตลาดออนไลน์ เครื่องมือแก้ปัญหาทำเลไม่ทำเงิน ยิง Ads Facebook อย่างไรให้เพิ่มยอดขายเท่าตัว! ชวนวิเคราะห์ “Robinhood” แอพฯ บริการส่งอาหารน้องใหม่มาแรง เหมาะกับร้านอาหารเราหรือไม่
Learn moreที่ร้านขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โฆษณาเรียกลูกค้าได้หรือไม่
เข้าสู่ช่วงเทศกาลแห่งการฉลองช่วงปลายปีต่อด้วยปีใหม่ เป็นช่วงเวลาสำคัญของการทำเงินสำหรับร้านอาหารอีกช่วงหนึ่ง แม้ว่าปีนี้จะมีสถานการณ์วิกฤตโรคระบาดส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตและรายได้ของผู้คน แต่ก็เชื่อว่าเมื่อถึงเวลาปลายปีการเดินทางท่องเที่ยว หรือการเลี้ยงฉลองก็จะกลับมาคึกคักเช่นที่ผ่านมา และแน่นอนว่าหนึ่งในสิ่งที่มาคู่กันกับช่วงเทศกาลโดยเฉพาะปลายปีอากาศเย็น ๆ แบบนี้ก็คือ เครื่องดื่มกลุ่มแอลกอฮอล์ทั้งหลาย ที่ตอนนี้ผู้ประกอบการไม่น้อยอาจมีคำถามว่า ร้านเราจะสามารถโฆษณาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้หรือไม่ เพราะเห็นมีข่าวว่าห้ามโฆษณาแล้วแบบนี้จะทำอย่างไรจึงจะบอกลูกค้าให้รู้ว่าร้านเรามีโปรเด็ดโปรดีหรือมีประเภทเครื่องดื่มสายแอลแบบเจ๋ง ๆ รอให้บริการ มาดูแนวทางที่ไม่เสียงผิดกฎหมายกัน ม.32 ประเด็นสำคัญของพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 เมื่อประเด็นมันเกี่ยวข้องกับกฎหมาย เราก็ต้องเริ่มต้นว่าด้วยเรื่องกฎหมายที่เกี่ยวของกับการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กันก่อน นั่นก็คือพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 ซึ่งหนึ่งในมาตราที่มีการถกเถียงกันมากที่สุดประเด็นหนึ่งของพรบ.นี้ก็คือมาตรา 32 ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับการโฆษณาประชาสัมพันธ์ใจความของมาตรา 32 มีว่า ห้ามมิให้ผู้ใดโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือแสดงชื่อหรือเครื่องหมายของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นการอวดอ้างสรรพคุณหรือชักจูงใจให้ผู้อื่นดื่มโดยตรงหรือโดยอ้อม การโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์ใด ๆ โดยผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภทให้กระทำได้เฉพาะการให้ข้อมูลข่าวสาร และความรู้เชิงสร้างสรรค์สังคม โดยไม่มีการปรากฎภาพของสินค้าหรือบรรจุภัณฑ์ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้น เว้นแต่เป็นการปรากฏภาพของสัญลักษณ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือสัญลักษณ์ของบริษัทผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เท่านั้น ทั้งนี้ตามที่กำหนดในกระทรวง บทบัญญัติวรรคหนึ่งและวรรคสอง มิให้บังคับกับการโฆษณาที่มีต้นกำเนิดนอกราชอาณาจักร โดยบทลงโทษของมาตรานี้คือ จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แกะความตามตัวกฎหมายจะเห็นแนวทางปฏิบัติที่ปลอดภัย เมื่อกฎหมายกำหนดไว้ชัดเจนในการกระทำได้และไม่ได้ไว้แบบนี้ ถ้าเราแกะความตามตัวอักษรดูความหมายแต่ละคำ ๆ ก็จะเห็นช่องทางให้ทำการประชาสัมพันธ์โดยไม่ผิดกฎหมายอย่างชัดเจน ซึ่งสาระสำคัญของมาตรา 32 อยู่ที่ ห้ามมิให้ผู้ใดโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือแสดงชื่อหรือเครื่องหมายของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นการอวดอ้างสรรพคุณหรือชักจูงใจให้ผู้อื่นดื่มโดยตรงหรือโดยอ้อม ทั้งนี้จากการเปิดเผยข้อมูลของนพ.นิพนธ์ ชินานนท์เวช ผอ.สำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลก อฮอล์ (สคอ.) กรมควบคุมโรค ถึงกรณีกระแสข่าวที่มีการตีความมาตรา 32 ไปในแนวทางที่คลาดเคลื่อนว่า แม้แต่การมีรูปประชาชนทั่วไปถือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โพสต์ขึ้นตามสื่อโซเชียลก็เป็นความผิดนั้น ตามหลักความเป็นจริงแล้ว ในมาตรา 32 ระบุใจความสำคัญไว้ 2 ส่วนด้วยกัน คือ ห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อประโยชน์ในทางการค้า เช่น การโพสต์ภาพเหล้าเบียร์พร้อมข้อความต่าง ๆ เพราะต้องการที่จะขายสินค้าเหล้าเบียร์นั้น ๆ รวมถึงการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายต่าง ๆ ห้ามแสดงชื่อหรือเครื่องหมายของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พร้อมกับการมีข้อความหรือพฤติการณ์ที่เป็นการอวดอ้างสรรพคุณหรือชักจูงใจให้คนอื่นอยากจะดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ดังกล่าว ดังนั้น การที่ประชาชนโพสต์ภาพขวดเหล้าเบียร์ หรือแก้วเบียร์ที่มีโลโก้เบียร์ จึงยังไม่ใช่ความผิดตามกฎหมายนี้ แต่หากเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง เช่น ดารา นักแสดง จะแตกต่างจากประชาชนทั่วไป เพราะบุคคลเหล่านั้นมีอิทธิพลต่อการชักจูงใจผู้พบเห็นได้ ก็จะเข้าข่ายกระทำความผิด แนวทางโฆษณาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่ผิดกฎหมาย ห้ามใช้ภาพ สื่อของบุคคลผู้มีชื่อเสียงมาทำการประชาสัมพันธ์ ห้ามเอ่ยถึงชื่อ ยี่ห้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้น ๆ ห้ามบรรยายสรรพคุณของเครื่องดื่มยี่ห้อนั่น ๆ ห้ามโฆษณาโปรโมชั่นส่วนลดของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ระบุชื่อยี่ห้อชัดเจน ดังนั้น จริง ๆ แล้วเราสามารถทำการโฆษณาด้วยชื่อแบรนด์ แต่ไม่ได้ระบุว่าเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือการทำภาพประกอบเป็นรูปขวดที่ไม่มียี่ห้อ ไม่มีคู่สีที่บ่งบอกว่าเป็นแบรนด์อะไรแต่รู้ว่ามันคือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่นเดียวกับการทำเป็นรูปแก้ว รูปเหยือก 2 เหยือก+1เหยือก ฟรี เป็นต้น กฎหมายว่าอย่างไรเราก็ต้องทำตามกฎหมาย แบรนด์ใหญ่ทำประชาสัมพันธ์อย่างไรเราก็ดูเป็นตัวอย่างและนำมาปรับใช้ เพราะสำหรับนักดื่มสายแอลแล้วละก็ เชื่อเถอะว่าจะเข้าใจความหมายกันดี คลิกอ่านบทความอื่น ๆ ได้ที่นี่ รู้ก่อนพลาด ! เตรียมให้พร้อม ก่อนเปิดขายแฮลกอฮอล์ในร้านอาหาร กฎหมายร้านอาหาร ที่ผู้ประกอบการควรรู้ และไม่ควรมองข้าม! เปิดร้านอาหาร ต้องจดทะเบียนร้านอย่างไร? คลิกอ่านบทความน่ารู้ จากแม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี มือใหม่เปิดร้านอาหาร การจัดการร้านอาหาร การตลาดเพื่อธุรกิจร้านอาหาร บทสัมภาษณ์และรีวิว การเลือกวัตถุดิบและอุปกรณ์ สูตรอาหาร Zero food waste
Learn moreพาสต้ามาแรง! สารพัดเส้นร้านคุณก็เสิร์ฟได้ สปาเกตตี้ ลิงกวิเน ฟูชิลี มักกะโรนี เฟตตูชินีหมึกดำ
เชื่อว่าเมนู “พาสต้า” หรือที่เราคุ้นเคยกันเรียกจนติดปากว่า “สปาเกตตี้” เป็นหนึ่งในเมนูโปรดของใครหลายๆ คน และเป็นเมนูโปรดสำหรับเจ้าของร้านอาหารด้วย เพราะเป็นเมนูหน้าตาดี ขายง่าย ใส่ Topping ได้หลากหลายทำให้ขายได้ราคา ไม่ว่าร้านอาหาร หรือร้านกาแฟ คาเฟ่ ก็สามารถขายเมนูพลาสต้าได้ และในเวลานี้ร้านพาสต้ากำลังเป็นกระแสฮิตติดเทรนด์ ร้านของคุณเองก็สามารถเสิร์ฟเมนูพาสต้า หรือสปาเกตตี้ได้ ทำความรู้จักกับพาสต้า พาสต้า เมื่อกล่าวถึงก็จะทราบได้ทันทีว่าเป็นอาหารอิตาเลียน ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากประเทศอิตาลี การเดินทางของสปาเก็ตตี้ผ่านห้วงเวลาและปรับเปลี่ยนเข้าสู่วัฒนธรรมการกินอื่นๆ ทำให้สปาเก็ตตี้ได้รับการปรับเปลี่ยนให้หลากหลายมากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นเราจึงเห็นสปาเก็ตตี้สไลต์อิตาเลียน สไตล์ญี่ปุ่น หรือสไตล์ไทยๆ เส้นพาสต้าสามารถนำมาดัดแปลงให้ถูกปากคนไทยมากยิ่งขึ้น ร้านอาหารสามารถนำเสนอให้แตกต่างจากความคุ้นชินเดิมๆ ได้ เช่นสปาเก็ตตี้ผัดขี้เมา มักกะโรนีต้มยำกุ้ง และสปาเก็ตตี้แกงเขียวหวาน นอกจากจะเป็นเมนูใหม่สร้างสรรค์ขึ้นเพิ่มเติมในร้านอาหารแล้ว ยังสามารถเปิดเป็นร้านสปาเกตตี้โดยเฉพาะก็ได้ เพราะเส้นและซอสที่หลากหลาย และยังเป็นเมนูนึงที่สามารถเปิดบูธในงาน Event ได้อีกด้วยทั้งแบบต้มเส้นและตักซอสราด หรือต้มเส้นและผัดสไตล์ไทยๆ เพราะฉะนั้นเมนูพาสต้าเป็นเมนูที่เจ้าของร้านอาหารต้องลองลงมือทำ! เส้นพาสต้านำเข้าจากอิตาลี ลาโมลิซาน่า สำหรับผู้ที่ชื่นชอบพาสต้าน่าจะคุ้นเคยกันดีกับ ลาโมลิซาน่า เพราะเป็นเส้นพาสต้าที่นำเข้าจากอิตาลี โดยตัวเส้นผลิตจากแป้งสาลี ดูรัม (Durum Wheat) ที่จะได้รสชาติมีความเฉพาะตัว ลาโมลิซาน่าเป็นชนิดเส้นแห้ง สะดวกต่อการนำไปใช้ในการประกอบอาหาร โดยเฉพาะร้านอาหารซื้อหาได้ง่าย ง่ายต่อการเก็บรักษา สามารถนำมาต้มเมื่อมีออเดอร์ได้ ตัวเส้นมีขนาดได้มาตรฐาน มีสีเหลืองนวลสม่ำเสมอเท่ากันทุกเส้น นอกจากนี้เนื้อเส้นของพาสต้ายังมีสัมผัสที่เหนียวนุ่ม เข้ากันได้ดีกับซอสหลากหลายชนิด หรือจะนำไปทำอาหารประเภทผัดก็มีรสชาติที่ดีเช่นกัน เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะร้านของคุณจะเสิร์ฟใน สไลต์อิตาเลียน สไตล์ญี่ปุ่น หรือสไตล์ไทยๆ ลาโมลิซาน่า ก็สามารถให้รสชาติที่อร่อยกลมกล่อมได้ ทำความรู้จัก เส้นสปาเกตตี้ สำหรับ สปาเก็ตตี้ (Spaghetti) ที่เราคุ้นเคยนั้น แท้จริงแล้วเป็นหนึ่งในประเภทเส้นพาสต้า เส้นพาสต้ามีมากกว่า 500 แบบ และแต่ละแบบก็มีชื่อเรียกต่างกันไป นอกจากเรื่องความสวยงามแล้ว รูปทรงที่ซับซ้อนถูกออกแบบมาเพื่อให้เส้นสามารถอุ้มซอสได้ดีกว่า สำหรับเส้นสปาเกตตี้ มีลักษณะกลมเป็นเส้นเล็กที่เรียวยาว สามารถเข้ากับซอสได้หลากหลายชนิด ทานคู่กับซอสมะเขือเทศเข้มข้นเป็นเมนูคุ้นเคยดีสำหรับคนไทย, คาโบนาร่า หรือแบบไทยๆ จะนำไปผัดกระเพรา, ผัดขี้เมา, ผัดปลาเค็ม, ผัดปลาสลิด ก็อร่อยไม่แพ้สไตล์อิตาเลียน เลือกซื้อ ลาโมลิซาน่า สปาเก็ตตี้ ได้อย่างสะดวกสบายที่ Makro Click คลิกเลย เส้นพลาสต้ายอดฮิต ที่ร้านต้องมี! เส้นพาสต้าทำมาจากแป้งเป็นหลักจึงไม่มีรสชาติใดเป็นพิเศษ แต่มีความเหนียวนุ่ม ทำให้เวลารับประทานจะมักนำไปคลุกซอสก่อน และซอสสำหรับพลาสต้าก็มีหลากหลายรูปแบบเช่นกัน ลิงกวิเน (Linguine) มีความคล้ายกับเส้นสปาเก็ตตี้ แต่มีความกว้างและแบนกว่า ลิงกวินีมีความกว้างประมาณ 6-9 มิลลิเมตร เป็นเส้นที่นิยมนำมาทานคู่กับซอสที่เป็นน้ำมันทั้งหลาย เช่น ผัดกับน้ำมันมะกอก, ผัดกับน้ำมันโหระพา หรือผัดกับเครื่องทะเล เลือกซื้อ ลิงกวิเน่#6 ลาโมลิซาน่า ได้อย่างสะดวกสบายที่ Makro Click คลิกเลย ฟูชิลี (Fusili) พาสต้าแบบเกลียวสั้น ปกติมักจะทำให้มีความหนามากกว่าพาสต้าอื่นๆ นิยมนำมาอบชีสและอบซอสชนิดต่างๆ ตัวเกลียวของฟูชิลีเองก็กินพื้นที่พอสมควรจึงต้องมีเนื้อแป้งที่หนากว่าเส้นแบบอื่น ซึ่งฟูชิลีนั้นมักพบการผสมผักต่างเข้าไปเพื่อเพิ่มสีสันของเส้นด้วย เช่น บีทรูท มะเขือเทศ หรือผักโขม เลือกซื้อ ฟูซิลี่#28 ลาโมลิซาน่า ได้อย่างสะดวกสบายที่ Makro Click คลิกเลย มักกะโรนี (Macaroni) พาสต้าทรงกระบอกสั้นและมีความโค้งมน ในต่างประเทศนำมักกะโรนีมาอบกับชีส ในไทยนำมาดัดแปลงได้หลากหลายเมนู เช่น มักกะโรนีผัดซอส ต้มมักกะโรนีน้ำใส เลือกซื้อ ลาโมลิซาน่า สปาเก็ตตี้ ของเบอร์ 70 ได้อย่างสะดวกสบายที่ Makro Click คลิกเลย เฟตตูชินีหมึกดำ (Squid Ink Fettuccine) มีความแบนและกว้างกว่าลิงกวินี โดยปกติเฟตตูชินีมีแบบที่เป็นสีเหลืองนวลด้วยเช่นกัน นิยมรับประทานคู่กับซอสที่มีความเข้มข้น เช่น คาโบนารา โบโลเนส หรือ ซอสครีมเห็ด เมื่อเป็น เฟตตูชินีหมึกดำ ก็เส้นพาสต้าแบบแบนที่ผสมหมึกของปลาหมึกลงไปทำให้มีสีดำและยังได้รสชาติเข้มข้นและมันของหมึกด้วย ความน่ารับประทานของเมนูนี้คือสีสันของวัตถุดิบที่ใส่ลงไปตัดกับสีดำของเส้น เช่น พาสต้าหมึกดำผัดหอยแมลงภู่ เลือกซื้อ ลาโมลิซาน่า เส้นพาสต้าหมึกดำ ได้อย่างสะดวกสบายที่ Makro Click คลิกเลย
Learn moreร้านขายดี เพราะยิงโฆษณาแบบนี้นี่เอง! เหมาะกับร้านขนาดเล็ก หรืองบน้อยก็ปังได้
โพสต์ Facebook แล้วก็ยังขายไม่ดี ลองยิงโฆษณาดูสักทีอาจจะขายดีขึ้นก็ได้ วันนี้ MHA ขอลงรายละเอียดเรื่องเทคนิคการยิงโฆษณาสำหรับร้านอาหาร ที่ว่ากันว่าถ้าลงโฆษณา Facebook แบบนี้แล้วร้านจะขายดีขึ้นอย่างมากด้วยงบการลงโฆษณาที่ไม่ได้มากมายอะไร และเป็นวิธีที่เหมาะกับร้านอาหารขนาดเล็กเป็นอย่างมาก ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า การยิงโฆษณาในที่นี้หมายถึงการ Boost หรือการจ่ายเงินเพื่อให้มียอดการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้นนั่นเองสำหรับ Facebook นั้นมีการ Boost ในหลายรูปแบบเช่นการ Boost page เพื่อให้มีคนติดตามเพจมากขึ้น หรือการ Boost post ที่เน้นให้แต่ละโพสต์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากกว่า ซึ่ง MHA จะขอกล่าวถึงการ Boost post เป็นหลัก เนื่องจากเป็นการยิงโฆษณาที่เหมาะกับร้านอาหารมากกว่า โดยสอดคล้องกับการทำ Content Marketing ของร้านอาหารอีกด้วย โดยเริ่มต้นจาก 1.ทำ Content อาหารในรูปแบบอัลบั้มภาพ(Photo Album) เพราะในเชิงจิตวิทยาแล้วเมื่อลูกค้าคลิกดูรูปอาหารไปเรื่อยๆ จะให้ให้เกิดความรู้สึกอยากทานอาหารมากกว่าการดูรูปอาหารเพียงรูปเดียว ดังนั้นในการ post ควรโพสต์เป็นอัลบั้มมากกว่า โดยสามารถนำเมนูหลายๆอย่างในร้านมาลงในอัลบั้ม หรือถ้าจะแนะนำเมนูเดียวให้ลองลงขั้นตอนการทำเมนูนั้นๆ โดยลงรูปตั้งแต่ 4-5 รูปขึ้นไป แต่ต้องมีการลงภาพปก(รูปแรก)ที่น่าสนใจ และมีเทคนิคในการใส่ข้อความ ซึ่งจะอธิบายในลำดับถัดไป เพิ่มเติมถ้าร้านอยู่ในตลาด, Community mall หรือ อาคารสถานที่ใดๆ และสถานที่นั้นมี Facebook Page ให้ใช้วิธีการ Tag สถานที่นั้นลงไปในโพสต์ด้วย หรือใช้วิธีTagเพื่อนใน Comment ของเราก็ได้ รวมถึงอาจใช้การส่งเสริมการขายมากระตุ้นให้ผู้ที่เห็นโพสต์สามารถ Tag เพื่อนใน Facebook เพื่อรับส่วนลดจากทางร้าน ซึ่งจะช่วยให้โพสต์ของเราสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายผ่านการ Tag หรือ การ Share ได้กว้างขึ้นไปอีก 2. การทำ Photo Album ควรคำนึงถึงขนาดภาพด้วยเช่นกัน ซึ่งประกอบด้วยภาพปก (Cover) และภาพอื่น ๆ ที่อยู่ในอัลบั้มภาพ โดยทั่วไปขนาดภาพปกจะขึ้นอยู่กับการวางรูปและจำนวนรูปภาพในอัลบั้ม ซึ่งขนาดและการจัดวางที่นิยมใช้ ได้แก่ - ภาพปกแบบแนวนอน + ภาพในอัลบั้มอีกไม่เกิน 2 ภาพ ซึ่งขนาดภาพปกจะอยู่ที่ 1200x600 pixelภาพปกแบบนี้จะทำให้รู้สึกสบายตาและเมื่อขึ้นรวมกันเป็นอัลบั้มจะเป็นกลุ่มสี่เหลี่ยมพอดี ส่วนภาพอื่น ๆ ให้เลือกขนาดเป็น สี่เหลี่ยมจัตุรัส หรืออัตราส่วน 1:1 ขนาดไม่เกิน 1200x1200 pixel เพื่อความสะดวกในการดูโพสต์ของกลุ่มเป้าหมาย - ภาพปกแบบแนวนอน + ภาพในอัลบั้มอีก 3 ภาพขึ้นไป ซึ่งขนาดภาพปกจะอยู่ที่ 1200x800 pixel ส่วนภาพอื่น ๆ ยังคงอัตราส่วน 1:1 หรือขนาดไม่เกิน 1200x1200 pixel เมื่อรวมกันเป็นอัลบั้มและจะเป็นกลุ่มสี่เหลี่ยมพอดีเช่นกัน - ภาพปกแบบแนวตั้ง + ภาพในอัลบั้มอีกไม่เกิน 2 ภาพ ซึ่งขนาดภาพปกจะอยู่ที่ 600x1200 pixel ภาพปกแบบนี้จะทำให้รู้สึกแปลกตา เริ่มมีการใช้กันเยอะขึ้นเพราะคนทั่วไปเริ่มเคยชินกับการถ่ายภาพแนวตั้งแล้ว เหมาะกันภาพร้าน ภาพวิว หรือภาพที่มีคนเป็นองค์ประกอบ ส่วนภาพอื่น ๆ ให้เลือกขนาดเป็น สี่เหลี่ยมจัตุรัส หรืออัตราส่วน 1:1 ขนาดไม่เกิน 1200x1200 pixel - ภาพปกแบบแนวตั้ง + ภาพในอัลบั้มอีก 3 ภาพขึ้นไป ซึ่งขนาดภาพปกจะอยู่ที่ 800x1200 pixel ส่วนภาพอื่น ๆ ยังคงอัตราส่วน 1:1 หรือขนาดไม่เกิน 1200x1200 pixel เมื่อรวมกันเป็นอัลบั้มและจะเป็นกลุ่มสี่เหลี่ยมพอดีเช่นกัน 3. สำหรับภาพปกนั้น ให้ลองใส่พิกัดร้านลงไป ไม่ว่าจะระบุไปตรง ๆ เลย หรือใช้การเล่นตัวอักษร เล่นคำก็ตาม ซึ่งจะส่งผลให้ลูกค้าที่อยู่บริเวณใกล้เคียงให้ความสนใจมากขึ้นกว่าเดิม เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวเอง ลองนึกภาพเวลาที่เราอ่านข่าวหรืออ่านเนื้อหาอะไรก็ตามในอินเตอร์เน็ต เราจะให้ความสนใจกับเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเรามากกว่าเนื้อหาอื่น ๆ ทั่วไป ซึ่งหลักการนี้เราสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ในการทำพาดหัว หรือ Text ที่อยู่ในภาพปกของอัลบั้มนั่นเอง 4. ขั้นต่อไปให้ลองเลือก Location ในการยิงโฆษณา จริงอยู่แม้ว่าร้านเราจะมีบริการเดลิเวอรี่ ที่ช่วยลดข้อจำกัดเมื่อลูกค้าอยู่ไกลจากร้านมาก แต่อย่างไรก็ดีร้านอาหารแบบทานที่ร้านยังคงต้องอาศัยลูกค้าที่เดินทางมาทานที่ร้านอยู่เช่นกัน ซึ่งลูกค้าที่มีโอกาสในการมาทานอาหารที่ร้านมากที่สุดคือ ลูกค้าที่อยู่บริเวณใกล้เคียงกับร้าน ในระยะไม่เกิน 5-10 กิโลเมตรเพราะเป็นลูกค้ากลุ่มที่เดินทางสะดวกที่สุด ดังนั้นในการตั้งค่า location ในการ Boost ถ้าหากเราจะเน้นให้มีคนเข้าร้านจำนวนมากไว้ก่อน ให้เราตั้งค่าไว้ไม่เกินรัศมี 5 กิโลเมตรจากร้านเรา หลังจากนั้น หากต้องการขยายฐานลูกค้า ค่อยมาปรับการตั้งค่าภายหลังได้ 5. ความถี่ในการมองเห็นโฆษณาก็เป็นเรื่องสำคัญ เป็นการยากมากที่ลูกค้าจะตัดสินใจมาที่ร้านทันทีหลังจากเห็นโฆษณาเพียงครั้งเดียว เพราะต้องผ่านกระบวนการตัดสินใจของลูกค้าก่อน โดยลูกค้าจะดูข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจมาทานที่ร้าน ซึ่งอาจจะใช้เวลาหลายวัน นั่นแปลว่า ในระหว่างที่ลูกค้ายังไม่ตัดสินใจนั้น ลูกค้าอาจจะ “ลืม” โพสต์ของร้านเราไปแล้วก็ได้ ดังนั้นในการยิงโฆษณา จึงไม่ควรยิงแค่ครั้งเดียว หรือแค่ 1 วัน แค่ควรตั้งค่าการยิงโฆษณาประมาณ 1 สัปดาห์ขึ้นไป เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายสามารถเห็นโพสต์ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง หรือวันละครั้งตามแต่งบประมาณ เพราะจะทำให้ลูกค้าเป้าหมายเกิดการจดจำนั่นเอง แต่ก็ไม่ควรโฆษณาถี่เกินไป เพราะลูกค้าจะรำคาญและกดปิดโพสต์ และรายงานโฆษณาของเราในที่สุด 6. อย่าลืมตั้งค่าเป้าหมายในการ Boost เพราะวัตถุประสงค์ในการยิงโฆษณาไม่ได้อยู่ที่การขายของเพียงอย่างเดียว ดังนั้น Facebook จึงออกแบบระบบให้สามารถเลือกวัตถุประสงค์หรือ Goal ในการ Boostแต่ละครั้ง ซึ่งอธิบายตามภาพได้ดังนี้ Automatic : ในกรณีที่ยังนึกไม่ออกว่าจะตั้งค่าเป้าหมายอย่างไรให้เลือกเป็น Automatic ไว้ก่อน Facebook จะทำการเลือกรูปแบบ Goal ที่เหมาะสมให้เอง Get more engagement : เลือกในกรณีต้องการเน้นที่การกด like share และ Comment Get more messages : เหมาะสำหรับกรณีที่ต้องการให้ผู้ที่สนใจทักเข้ามาถามทางข้อความ เหมาะสำหรับร้านที่สามารถตอบคำถามลูกค้าที่สนใจได้ตลอดเวลา Get more website visitors : เหมาะสำหรับร้านที่มีเว็บไซต์อยู่แล้ว และต้องการให้ลูกค้าเข้าสู่เว็บไซต์เพื่อทำการจอง หรือการดูแคตตาล็อคสินค้าเพิ่มเติม Get more leads : ใช้ในกรณีต้องการข้อมูลเพิ่มเติมของลูกค้า โดยจะมีฟอร์มเพิ่มเติมให้ทำ Get more calls : สำหรับลูกค้าที่สะดวกโทรมายังร้านของเรา โดยทั่วไปเรามักจะเลือก Get more engagement เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมของกลุ่มเป้าหมาย หรือ Get more messages เพื่อเป็นการดูความสนใจของลูกค้าที่มีต่อโพสต์นั้น ๆ แต่หากยังไม่แน่ใจ ให้เลือกเป็น Automatic ไว้ก่อนก็ได้ คงไม่ยากเกินไปนักสำหรับการยิงโฆษณา Facebook ในระดับเบื้องต้นนี้ น่าจะนำไปปรับใช้กับร้านอาหารแต่ละร้านได้ อย่างไรก็ตามการยิงโฆษณาเป็นเพียงการกระตุ้นให้ลูกค้าเกิดความสนใจในร้านของเราเท่านั้น แต่สิ่งที่จะมัดใจลูกค้าได้ดีที่สุดคือ รสชาติอาหาร การบริการที่ดี และราคาที่สมเหตุสมผลนั่นเองยังมีอีกหลายเทคนิคในการยิงโฆษณาใน Facebook รวมถึงการทำโฆษณาในสื่อ Social อื่น ๆ ซึ่ง MHA จะนำเสนอในคราวต่อไป Credit ภาพ - Facebook.com - เจ๊อิม เผือกหิมะ - หญ้าขาว คาเฟ่ - ปังพระนคร
Learn moreขายเมนูกุ้งเมื่อไหร่ก็ได้ราคา มีกุ้งติดร้านได้ตลอดทั้งปี ราคาคงที่ แกะเปลืองพร้อมปรุง!
เมื่อพูดถึงวัตถุดิบประจำร้านนอกจาก เนื้อหมู เนื้อไก่ แล้ว กุ้ง เป็นวัตถุดิบที่ขาดไม่ได้ ต้องมีติดร้านเพื่อเสิร์ฟตามความต้องการของลูกค้า กุ้ง วัตถุดิบตัวเล็กๆ แต่ความอร่อยใหญ่มาก สามารถนำมาปรุงอาหารได้อย่างหลากหลายเมนู ไม่ว่าจะต้ม ผัด แกง ทอด ก็สามารถปรุงออกมาให้อร่อยได้ และแน่นอนว่าร้านอาหารสามารถอัพราคาเพิ่มได้เมื่อเปลี่ยนวัตถุดิบจาก เนื้อหมู เนื้อไก่ มาเป็นกุ้ง แต่จะเสิร์ฟกุ้งให้ลูกค้าได้ประทับใจในความอร่อย กัดแล้วรู้สึกกรึบๆ สู้ลิ้น สู้ฟัน ก็ต้องเลือกกุ้งที่คงความสดได้ตั้งแต่ขึ้นจากน้ำ ไปจนถึงจานอาหารของลูกค้า เสิร์ฟกุ้งต้องสด และต้องเสิร์ฟให้หมด เคล็ดลับการเลือกซื้อกุ้งสด เจ้าของร้านอาหารคงเชี่ยวชาญในการเลือกอยู่แล้ว ทั้งการดูหนวด หัว ที่ยังติดอยู่กับตัวกุ้ง เปลือกกระชับ สีเปลือกใส หากสีเปลือกหุ้มออกสีน้ำตาล สีแดง แสดงว่ากุ้งไม่ค่อยสดแล้ว อายุของความสดนั้นสั้น เมื่อซื้อแล้วต้องรีบใช้งานให้หมด ซึ่งหากเหลือทั้งรสชาติ รสสัมผัส กลิ่นที่เปลี่ยนไป เจ้าของร้านต้องทิ้งไม่สามารถเสิร์ฟได้ทำให้ต้นทุนของร้านอาหารสูงขึ้น กุ้งแช่แข็งไว้หางสะดวกกว่า สดได้นานกว่า ในปัจจุบันมีกุ้งแช่แข็งไว้หาง ที่มีกระบวกการมาตรฐานระดับสากล ควบคุมคุณภาพให้มีความสม่ำเสมอทุกตัว คงความสดได้ยาวนาน มีขนาดไซส์ให้เลือกสรร ทั้งขนาดไซส์ใหญ่ 90-106 ตัว/กิโลกรัม และขนาดไซส์เล็ก 107-123 ตัว เหมาะกับผู้ประกอบการร้านอาหาร สามารถเลือกซื้อกุ้งเป็นวัตถุดิบภายในร้านได้ตลอดทั้งปี ในราคาคงที่ แกะเปลือกแล้วสามารถพร้อมใช้งานได้ทันทีไม่เสียเวลาพนักงานในการจัดเตรียมวัตถุดิบ คุณภาพได้มาตราฐานคงที่ทุกตัว ลดการสูญเสียคุณภาพจากการแกะ ยังคงไว้หางเพื่อความสวยงามของอาหารทุกจาน ไซส์เท่ากันทุกตัว ทำให้สามารถความควบคุมคุณภาพ ปริมาณ และต้นทุนของอาหารทุกจานได้ง่าย สามารถเลือกซื้อกุ้งแช่แข็งไว้หาง ทั้งขนาดไซส์ใหญ่ 90-106 ตัว/กิโลกรัม และขนาดไซส์เล็ก 107-123 ตัว ได้ที่ Makro Click ไอเดียเมนูกุ้ง ขายง่าย ได้ราคาดี เมนูกุ้งทั้ง กุ้งผัดบล๊อคโคลี่ กุ้งผัดผักรวม ต้มยำกุ้ง ข้าวผัดกุ้ง ข้าวกระเพรากุ้ง ข้าวต้มกุ้ง... เมนูเหล่านี้คงเป็นเมนูคู่ร้านอาหาร ที่เจ้าของร้านคุ้นเคยอยู่แล้ว ลองมาดูกันว่ากุ้งจะสามารถสร้างสรรค์เป็นเมนูใหม่ๆ อะไรได้บ้าง และแน่นอนว่าเจ้าของร้านอาหารต้องชอบเพราะเป็นเมนูขายง่าย ได้ราคาดี กุ้งสาย Street Food เมนูกุ้งย่างเสียบ บีบเลม่อน จิ้มซาวครีมหรือครีมวาซาบิ เสิร์ฟคู่กับข้าวโพดย่างเนย ทะเลชุบแป้งทอดเสิร์ฟคู่กับซาวครีม ซอสมะเขือเทศ หรือจะเป็นเฟรนช์ฟรายส์ทอดเสิร์ฟพร้อมกุ้งชุบแป้งทอด เพิ่มลูกเล่นด้วยผงโรยรสชาติต่างๆ ทั้งปาริก้า วาซาบิ ผงชีส นอกจากจะเปิดเป็นร้าน Street Food แล้ว เมนูกุ้งสาย Street Food ก็สามารถเป็นเมนูพิเศษเสิร์ฟในร้านอาหารได้เช่นกัน กุ้งสายค็อกเทลออเดิร์ฟและอาหารว่าง เจ้าของแคทเทอริ่งและจัดเลี้ยง ต้องชอบกุ้งแช่แข็งไว้หางอย่างแน่นอน เพราะคัดไซด์กุ้งขนาดเท่าๆ กันมาให้แล้ว เมื่อนำมาทำเป็นค็อกเทล หรืออาหารว่างในงานเลี้ยง งานอีเว้นท์ จะทำให้อาหารที่จัดวางดูสวยงาม มีราคา เช่น เมนูกุ้งพันเบคอน เมนูหมี่พันกุ้ง เมนูขนมปังกระเทียมหน้ากุ้ง ร้านอาหารก็สามารถนำเมนูสายค็อกเทลมาเป็นเมนูแนะนำจัดเสิร์ฟเป็นออเดิร์ฟเรียกน้ำย่อยในระหว่างรออาหารจานหลักได้ กุ้งสายติ่มซำ ฮะเก๋ากุ้ง ปอเปี๊ยะกุ้ง เกี้ยวกุ้ง เมื่อใช้กุ้งไว้หางแล้วยิ่งทำให้ติ่มซำดูชิ้นใหญ่ สวยงาม หรือแม้แต่ขนมปังหน้ากุ้ง ขนมจีบ เมนูติ่มยอดฮิตก็สามารถใช้กุ้งแช่แข็งนำมาสับละเอียดได้ คลิกอ่านบทความอื่น ๆ ได้ที่นี่ พาสต้ามาแรง! สารพัดเส้นร้านคุณก็เสิร์ฟได้ สปาเกตตี้ ลิงกวิเน ฟูชิลี มักกะโรนี เฟตตูชินีหมึกดำ อยากเสิร์ฟเมนูญี่ปุ่น ไม่ยาก! ข้าวญี่ปุ่น น้ำซุปเข้มข้น ซอสญี่ปุ่น หาได้ที่นี่ ร้านคุณก็เสิร์ฟอาหารต้นตำรับได้! สปาเกตตี้ และแกงใต้ ทำง่ายเสิร์ฟเร็ว อร่อยทุกจาน ผักสลัดอินทรีย์ยอดฮิต ได้ประโยชน์อย่างปลอดภัย สร้างสรรค์เมนูได้ราคาดี สวรรค์ของคนรักเนื้อ รวมวัตถุดิบเนื้อพรีเมี่ยมที่ Makro คลิกอ่านบทความน่ารู้ จากแม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี มือใหม่เปิดร้านอาหาร การจัดการร้านอาหาร การตลาดเพื่อธุรกิจร้านอาหาร บทสัมภาษณ์และรีวิว การเลือกวัตถุดิบและอุปกรณ์ สูตรอาหาร Zero food waste
Learn moreเช็คโอกาสทางธุรกิจ ร้านแบบไหนสามารถทำเงินได้ในช่วงนี้
เข้าสู่ช่วงปลายปีเป็นช่วงของการเฉลิมฉลองสิ่งที่มาคู่กันก็คือ การจัดกิจกรรมงานเลี้ยงสังสรรค์ปาร์ตี้ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ถึงแม้ในปีนี้คาดการว่าการจัดงานฉลองต่าง ๆ อาจจะดูไม่คึกคักเหมือนทุกปีผ่านมาด้วยสถานการณ์โรคระบาดและสภาพเศรษฐกิจ แต่ก็เชื่อได้เลยว่าอย่างไรเสียงานสังสรรค์ตามหน่วยงาน องค์กรต่าง ๆ จะยังคงมีอยู่ซึ่งนี่แหละถือเป็นอีกหนึ่งโอกาสสำหรับร้านอาหารที่จะทำเงินได้เพิ่มในช่วงเทศกาล ร้านแบบไหนเป็นโอกาสทองของการจัดเลี้ยง ตลาดจัดเลี้ยง เป็นอีกหนึ่งตลาดที่เชื่อว่าจะมีการแข่งขันกันดุในช่วงปลายปีและต่อเนื่องไปจากนี้ เพราะไม่ใช่แค่ร้านอาหารเท่านั้นที่แข่งขันกันเอง ยังมีกลุ่มโรงแรมรวมไปถึงกลุ่มที่ทำธุรกิจจัดเลี้ยงเป็นอาชีพให้ต้องขับเคี่ยวกัน แต่หากมองในมุมของร้านอาหารจะมีความได้เปรียบกว่า เพราะตัวธุรกิจหลักของร้านอาหารคือบริการหน้าร้าน ส่วนการจัดเลี้ยงเป็นบริการเสริม แต่ก็นับว่าเป็นบริการเสริมที่สามารถทำเงินได้เป็นก้อนใหญ่ ฉะนั้นหากร้านอาหารใดที่มีความพร้อมก็ไม่ควรพลาดจับกลุ่มลูกค้าจัดเลี้ยง แล้วร้านแบบไหนเหมาะกับการรับจัดเลี้ยง? จริง ๆ แล้วร้านทุกประเภทอาหารสามารถรับทำจัดเลี้ยงได้ ขึ้นอยู่กับการดีไซน์แพคเกจ และรูปแบบ แต่สิ่งสำคัญที่อาจมีผลให้ต้องพิจารณาก็หนีไม่พ้นเรื่องของความพร้อมด้านสถานที่ ซึ่งเป็นสิ่งแรก ๆ ที่ลูกค้าจะใช้พิจารณาเลือก ร้านที่มีสถานที่พร้อมสำหรับให้บริการจัดเลี้ยงจะมีข้อได้เปรียบมากกว่า เช่น มีพื้นที่มาก มีห้องรองรับ มีห้องคาราโอเกะ มีบรรยากาศร้านดูดี ก็จะสามารถขายตัวเองได้ง่ายกว่า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ร้านเล็ก ๆ จะต้องพลาดโอกาสนี้ไป ร้านเล็ก ๆ ก็สามารถนำเสนอรูปแบบการจัดเลี้ยงแบบกลุ่มเล็กเน้นความเป็นส่วนตัว ความพร้อมด้านงานบริการเพราะการจัดเลี้ยงต้องใช้กำลังคนในการบริการมากกว่าบริการปกติซึ่งหากร้านไม่มีความพร้อมในการจัดการที่ดีพอ จะส่งผลกระทบไปถึงลูกค้าส่วนอื่น ๆ ของร้าน และนั่นอาจทำให้ร้านโดนคอมเพลนถล่มจนพังได้ ตลาดกลุ่มไหนที่ควรเข้าหา ร้าน Camp Havana ตลาดกลุ่มหลักของการจัดเลี้ยงในช่วงเทศกาลปลายปีต่อด้วยต้นปียังคงเป็นตลาดกลุ่มองค์กร บริษัทต่าง ๆ ดังนั้นหากจะจับกลุ่มตลาดนี้ ก็คงต้องรีบทำการตลาดเชิงรุกนำเสนอตัวเองให้เป็นที่สนใจ จำเป็นต้องสร้างการรับรู้ให้ลูกค้าเป้าหมาย รู้ว่าร้านเรามีบริการจัดเลี้ยงประเภทใดบ้าง เช่น ทำป้ายประชาสัมพันธ์หน้าร้าน ช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ ของร้านจัดเตรียมแพ็กเกจรายการอาหารไว้ให้พร้อมว่ามีราคาเท่าไหร่ มีรายการอาหารอะไรบ้าง เรียนรู้การโปรโมทโปรโมชั่นให้ลูกค้ารู้ ซึ่งจะสอนพื้นฐานเครื่องมือการตลาดออนไลน์ เนื้อหาเข้าใจง่าย สามารถทำตามได้ทันที และนำไปใช้ได้จริง เหมาะสำหรับมือใหม่เปิดร้านอาหาร ในคอร์สเรียนออนไลน์ฟรี “โปรโมทร้านอาหารในออนไลน์ ให้ยอดขายพุ่งขึ้น 10 เท่า” คลิก! เพื่อลงทะเบียนได้ที่มุมบนขวามือ อีกหนึ่งช่องทางตัวเลือกที่น่าสนใจคือการนำร้านเราเข้าไปร่วมกับแพลทฟอร์มผู้ให้บริการจัดเลี้ยงเช่น “hungryhub” ซึ่งเป็นแพลทฟอร์มที่ให้บริการรับจองร้านอาหารที่มีส่วนของการจองเป็นหมูคณะเพื่อจัดเลี้ยงวาระต่าง ๆ ข้อดีของการเข้าร่วมแพลทฟอร์มประเภทนี้คือ ทางแพลทฟอร์มมีความเชี่ยวชาญในการทำการตลาดด้านนี้โดยเฉพาะ มีระบบจัดการสำหรับลูกค้าผู้มาใช้บริการจองโต๊ะจัดเลี้ยง มีกลุ่มฐานลูกค้าอยู่แล้ว และมีทีมงานคอยให้คำปรึกษาในการจัดแพคเกจเมนูราคาต่าง ๆ ก็เปรียบเสมือนเรามีคนค่อยช่วยหาลูกค้าและบริหารลูกค้าให้นั่นเอง ประเภทธุรกิจจัดเลี้ยง พอพูดถึงบริการจัดเลี้ยง หลายคนอาจนึกถึงแต่เฉพาะโต๊ะจีน แต่บริการจัดเลี้ยงมีประเภทหลากหลายให้เลือก แต่ละประเภทรูปแบบการจัดและเมนุอาหารก็แตกต่างกัน เช่น โต๊ะจีน รูปแบบบริการเป็นการจัดเตรียมอาหารเป็นเซทเมนู ทยอยเสิร์ฟอาหารตามโต๊ะ เหมาะสำหรับลูกค้ากลุ่มจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ เช่น งานแต่ง งานบวช ตัวอย่างราคาโต๊ะจีนชุด 2,500 บาท สั้งขั้นต่ำ 10 โต๊ะ จากร้านนิวโภชนา ค็อกเทล รูปแบบบริการจะคล้ายกับบุฟเฟ่ต์ เป็นการจัดเตรียมอาหาร จัดวางอาหารตามจุดกำหนดให้ผู้เข้าร่วมงานบริการตัวเอง แต่ประเภทอาหารจะไม่ได้เน้นอาหารจานหลัก หนักไปทางอาหารเบา ๆ ทานเล่น เหมาะกับงานเลี้ยงที่ต้องการบรรยากาศสบาย ๆ ไม่ได้เน้นการรับประทาน เน้นกิจกรรมของตัวงาน ตัวอย่างราคาเซ็ทและรายการอาหาร ร้านดีเคเทอริ่ง สามารถคลิกดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ ซุ้มอาหาร รูปแบบบริการจะเป็นการจัดเลี้ยงแบบออกร้านตามงานต่าง ๆ โดยภายในงานอาจจะมีหลายซุ้มอาหารให้ผู้มางานได้เลือกรับประทาน เริ่มเป็นรูปแบบที่นิยมมากขึ้นในยุคนี้ เหมาะสำหรับงานเน้นความบันเทิง เช่น งานเทศกาลดนตรี หรืองานเลี้ยงวันเกิด งานขึ้นบ้านใหม่ก็ได้เช่นกัน อยู่ที่เราจะนำเสนอไอเดียให้กับลูกค้า บุฟเฟ่ต์ รูปแบบบริการเป็นการจัดเตรียมอาหารไว้ตามจุดกำหนด ให้ผู้มางานบริการตัวเอง เหมาะกับกลุ่มลูกค้าประเภทงานเลี้ยงสังสรรค์องค์กร สัมมนา ตัวอย่างรายการอาหารบุฟเฟ่ต์ พร้อมราคาแพ็คเกจ จากร้านนิวโภชนา คอฟฟี่เบรกและอาหารว่าง รูปแบบบริการเป็นการจัดเซทเมนูขนม พร้อมเครื่องดื่ม นิยมสำหรับงานประชุม สัมมนา Snack Box รูปแบบบริการคล้าย ๆ กับ คอฟฟี่เบรกและอาหารว่าง จะต่างกันที่ Snack Box ขนมและเครื่องดื่มจะถูกใส่ลงในกล่อง เหมาะสำหรับงานใช้เวลาไม่นานและต้องการความสะดวก รวดเร็ว เช่น งานแถลงข่าว งานสัมมนา งานพิธีกรรมต่าง ๆ อย่าง งานบุญ งานศพ เป็นต้น ตัวอย่าง Snack Box จากร้าน S&P อาหารกล่อง รูปแบบบริการเป็นการทำอาหารตามสั่งใส่กล่อง อาจกำหนดเมนูให้ลูกค้าเลือกได้ เหมาะสำหรับงานสัมมนา งานกิจกรรมต่าง ๆ ที่ต้องการความสะดวก และประหยัดงบ ตัวอย่างราคาอาหารกล่องจากร้านนิวโภชนา ดาวน์โหลดรายการอาหาร คลิก จะเห็นว่า ตลาดธุรกิจอาหารบริการจัดเลี้ยงไม่ธรรมดาเลย มีกลุ่มลูกค้าหลากหลายกลุ่มให้เลือกทำตลาด ขึ้นอยู่กับว่าผู้ประกอบการจะมองเห็นโอกาสหรือไม่ รูปแบบจัดเลี้ยงที่อาจต้องเน้นทางเลือกยืดหยุ่นตามงบประมาณให้ลูกค้า แต่หากร้านเน้นบริหารจัดการด้วยตัวเอง ในสถานการณ์ที่คาดกันว่างบประมาณสำหรับการจัดเลี้ยงของแต่ละองค์กร หน่วยงานในปีนี้มีโอกาสจะปรับลดลง การดีไซน์แพคเกจราคา และเมนูให้ยืดหยุ่นตามงบประมาณลูกค้าก็จะเป็นปัจจัยสำหลักในการตัดสินใจเลือกของลูกค้า รวมไปถึงการสร้างทางเลือกอื่น ๆ เช่น บริการจัดเลี้ยงนอกสถานที่ รับทำซุ้มจัดเลี้ยงตามสถานที่ต่าง ๆ หรือแม้แต่นำความสามารถ จุดเด่นด้านการทำอาหารของร้านเราไปให้บริการแบบถึงบ้านในสไตล์ Chef’s Table ก็เป็นอีกหนึ่งไอเดียที่เพิ่มโอกาสทำเงินได้ไม่ธรรมดา ตัวอย่างราคาเพคเกจจัดเลี้ยงแบบบุฟเฟ่ต์งานปาร์ตี้โรงแรมโนโวเทล สีลม The Gathering: ท่านละ 899 บาทสุทธิ (จำนวนแขกขั้นต่ำ 40 ท่าน) อิ่มอร่อยกับบุฟเฟ่ต์อาหารนานาชาติ, ของว่าง, เครื่องดื่มซอฟท์ดริ้งค์ และม็อคเทลไม่จำกัด ในระยะเวลา 4 ชั่วโมง The Ultimate: ท่านละ 1,150 บาทสุทธิ (จำนวนแขกขั้นต่ำ 40 ท่าน) อิ่มอร่อยกับบุฟเฟ่ต์อาหารนานาชาติ, ของว่าง, เครื่องดื่มซอฟท์ดริ้งค์ และดราฟท์เบียร์ 20 ลิตร ตลอด 4 ชั่วโมง นอกจากนี้ เรายังจัดเตรียมซุ้มถ่ายรูปให้ทุกคนได้ร่วมสนุกในระหว่างงานปาร์ตี้อีกด้วย The Big Blast: ท่านละ 1,399 บาทสุทธิ (จำนวนแขกขั้นต่ำ 40 ท่าน) เต็มอิ่มกับบุฟเฟ่ต์อาหารทะเล, ของว่าง, เครื่องดื่มซอฟท์ดริ้งค์ และดราฟท์เบียร์ 20 ลิตร ตลอด 4 ชั่วโมง พิเศษสุดๆ เราแถมซุ้มถ่ายรูปเอาไว้ให้ผู้ร่วมงานได้โพสต์ท่าเก๋ ๆ อัพลงโซเชียลกันด้วย เครดิตที่มา : Novotell ข้อต้องระวังที่อาจทำให้พังทั้งร้าน แต่ไม่ว่าจะเลือกรูปแบบในการจับตลาดกลุ่มจัดเลี้ยงอย่างใดก็ตาม สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึง คือ ความพร้อมทุกส่วนของร้าน โดยเฉพาะความพร้อมด้านงานบริการ เพราะการจัดเลี้ยงต้องใช้กำลังคนในการบริการมากกว่าบริการปกติ ซึ่งหากร้านไม่มีความพร้อมในการจัดการที่ดีพอ จะส่งผลกระทบไปถึงลูกค้าส่วนอื่น ๆ ของร้าน และนั่นอาจทำให้ร้านโดนคอมเพลนถล่มจนพังได้ ตลาดจัดเลี้ยงยังเป็นตลาดที่เติบโตได้อีกมาก และไม่ใช่จะมีเฉพาะช่วงเทศกาลสำคัญ ๆ เพราะร้านอาหารสามารถขายบริการจัดเลี้ยงได้ตลอดทั้งปี ในหลากหลายรูปแบบ เช่น งานสัมมนา งานแต่ง งานวันเกิด งานฉลองรับปริญญา ข้อดีของธุรกิจนี้คือหากลูกค้าประทับใจในครั้งแรกแล้วโอกาสเปลี่ยนไปใช้บริการเจ้าอื่นยากมาก คลิกอ่านบทความน่ารู้ได้ที่นี่ ที่ร้านขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โฆษณาเรียกลูกค้าได้หรือไม่ 5 ลูกเล่น “Robinhood” ดีต่อธุรกิจ ที่เจ้าของร้านอาหารต้องรู้ ขายดีหัวกระไดไม่แห้ง! เรียกลูกค้าใหม่ด้วย Facebook กระตุ้นลูกค้าเก่าด้วย Line OA ออกแบบโปรโมชั่นร้านอย่างไรให้ลูกค้า Wow ต่อคิวซื้อ! เปิดเพจร้านแต่ไม่รู้จะโพสอะไรดี? คลิกอ่านบทความในหมวดอื่นได้ที่ มือใหม่เปิดร้านอาหาร การจัดการร้านอาหาร การตลาดเพื่อธุรกิจร้านอาหาร บทสัมภาษณ์ร้านอาหาร การเลือกวัตถุดิบและอุปกรณ์ สูตรอาหาร Zero Food Waste
Learn moreจัดการบัญชีดี ช่วยลดหย่อนภาษีร้านอาหารได้
เข้าสู่ช่วงปลายปีแล้ว อันเป็นห้วงเวลาที่ถือเป็นช่วงหน้าขายหรือช่วงไฮซีซั่น ซึ่งผู้บริโภคมักนิยมออกมาเฉลิมฉลองสังสรรค์กัน เชื่อว่าผู้ประกอบการร้านอาหาร-คาเฟ่ต่างก็ครีเอทร้านให้เป็นที่ดึงดูดความสนใจเพื่อให้ลูกค้ามาใช้บริการ ทว่าในทางคู่ขนานกัน ยังเข้าสู่ช่วงปลายปีภาษีแล้ว ซึ่งหมวกอีกใบของเจ้าของร้านก็ต้องแบ่งมาจัดการเรื่องภาษีอีกด้วย และประเด็นหนึ่งคือการเซฟเงิน ลดรายจ่าย นั่นคือการลดหย่อนภาษีครั้งนี้จึงชวน ‘อ.ธนัย นพคุณ’ กูรูด้านบัญชีและ Course Director แห่ง FlowAccount ที่จะมาให้คำแนะนำเกี่ยวกับการจัดการบัญชี ซึ่งสิ่งนี้จะสามารถช่วยผู้ประกอบการลดหย่อนภาษีได้ด้วย เทคนิคจัดการบัญชีช่วยลดหย่อนภาษี จะลดหย่อนภาษี ต้องรู้จักกับภาษีที่ร้านอาหารและคาเฟ่ต้อง ‘เสีย’ เสียก่อน เป็นสิ่งแรกที่ อ.ธนัย ชวนคิดและอธิบายให้เข้าใจอง่ายๆ ว่า ฐานภาษีขึ้นอยู่กับรูปแบบการประกอบธุรกิจ ซึ่งร้านอาหาร-คาเฟ่ มี 2 รูปแบบ คือ บุคคลธรรมดา หรือ นิติบุคคล/บริษัท o บุคคลธรรมดา สำหรับเจ้าของร้านอาหาร-คาเฟ่ที่ไม่ได้จดทะเบียนบริษัทนั้น การเสียภาษีจะเป็นแบบ ‘บุคคลธรรมดา’ ซึ่งจะคำนวนตามอัตราส่วนของรายได้ ยิ่งรายได้มาก ก็เสียภาษีมาก (ที่มา: กรมสรรพากร) แต่ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจเรื่องฐานภาษีที่ใช้คิดคำนวน เช่น รายได้ 0 - 150,000 บาท ได้รับการยกเว้น โดยเงินได้ร้านอาหารทั้งปี ต้องนำรายได้ร้านอาหารหักกับค่าใช้จ่าย หักค่าลดหย่อนต่าง ๆ ของบุคคล (เจ้าของร้าน) เหลือเท่าไรแล้วนำมาคำนวนภาษี สำหรับภาษีบุคคลธรรมดาของผู้ประกอบการร้านอาหารนั้น สามารถคำนวนได้ 2 แบบ แบบแรก หักค่าใช้จ่ายเป็นเปอร์เซ็นต์ โดยร้านอาหาร สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 60% ของรายได้ของผู้ประกอบการร้านอาหาร โดยนำค่าใช้จ่ายมาหักกับเงินได้ และค่าลดหย่อนส่วนตัวแต่ละบุคคล (ถ้ามี) เป็นต้นว่า ค่าเลี้ยงดูบิดามารดา ค่าเช่าบ้าน ค่าดอกเบี้ยในการซื้อรถ กองทุน SSF กับ RMF ฯลฯ คงเหลือเท่าไรก็ให้นำมาเสียภาษีตามขั้น (ตารางด้านบน) เพื่อให้เข้าใจจ่าย ยกตัวอย่าง ถ้าร้านอาหารมีรายได้ 1,000,000 บาท สามารถ หักค่าใช้จ่ายได้ 60% 600,000 บาท ดังนั้นรายได้หลังหักค่าใช้จ่าย 400,000 บาท หักค่าลดหย่อน ส่วนตัว 60,000 บาท เงินได้สุทธิก่อนเสียภาษี 340,000 บาท นำ 340,000 บาทไปเสียภาษีตามตาราง 150,000 แรก ได้รับยกเว้นภาษี 150,000 ต่อมา เสียภาษีที่ 5% = 7,500 บาท อีก 40,000 บาทส่วนที่เหลือ เสียภาษีที่ 10% = 4,000 บาท ดังนั้นตามตัวอย่างนี้จะเห็นได้ว่า ต้องเสียภาษีที่ 7,500 + 4,000 = 11,500 บาท นี่ขนาดยังไม่ได้นำค่าลดหย่อนที่กล่าวจากด้านต้นมาลดหย่อนเพิ่มเติม ซึ่งมีผลให้สามารถนำส่งภาษีได้น้อยลงไปอีกนะครับ แต่การที่จะมีค่าลดหย่อนได้ ต้องมีระบบการจัดการเอกสารที่ดี จะได้มีเอกสารประกอบการลดหย่อนภาษีได้ครบ (อ่านบทความ ‘อ.ธนัย FlowAccount: 5 เหตุผล ทำบัญชีช่วยลดต้นทุนเพิ่มพูนกำไร’ ) ไม่เช่นนั้นแล้วจะเสียภาษีเต็มขั้นที่ 30% เลยทีเดียว แบบสอง ‘นำรายได้ทั้งหมดคูณ 0.5%’ แบบใดเสียภาษีมากกว่าให้เลือกวิธีนั้น “คุณทำร้านอาหาร ขาดทุนยังไงก็ต้องเสียภาษี เพราะว่าเอารายได้คูณด้วย 0.5% ดังนั้นไม่มีทางเลือกครับ เบื้องต้นถ้ามีการเก็บข้อมูลที่ดี ก็จะตอบได้ทันทีว่าแบบไหนคุ้มกว่า” นอกจากนั้น ถ้าร้านอาหาร-คาเฟ่ มีรายได้มากกว่า 1,800,000 บาท ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม แม้ว่าไม่ได้จดทะเบียนบริษัทก็ตาม ดังนั้นต้องมีใบกำกับภาษีทั้งของซื้อและของขาย จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการจัดเก็บเอกสาร ในแง่บุคคลธรรมดาอาจจะเสี่ยงต่อความไม่คุ้มค่า เพราะว่าไม่มีโครงสร้างในระบบดังกล่าวรองรับไว้ ถ้าเทียบกับผู้ประกอบการที่จดทะเบียนบริษัท บุคคลธรรมดาจึงมีโอกาสขาดทุนมากกว่า สำหรับ ‘เทคนิควิธีการลดหย่อนภาษีร้านอาหารแบบบุคคลธรรมดา’ ให้ลดหย่อนได้เยอะๆ นั้น อ.ธนัย สรุปทริคไว้ดังนี้ 1. ต้องสำรวจตัวเองก่อนว่ามีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง 2. ต้องรู้ว่ามีค่าลดหย่อนอะไรบ้าง 3. ใช้สิทธิประโยชน์จากมาตรการหรือโครงการของรัฐให้ครบ o นิติบุคคล/บริษัท ในส่วนของผู้ประกอบการร้านอาหาร-คาเฟ่ที่จดทะเบียนบริษัท การคำนวนภาษีนั้น ‘คำนวนวิธีเดียว’ โดยนำรายได้หักกับรายจ่ายมาคำนวนตามความเป็นจริง เหลือเท่าไรค่อยนำมาเสียภาษี ซึ่งค่าใช้จ่ายทุกอย่างใช้ได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะมีการจ่ายเงินเดือนให้เจ้าของร้าน ค่าทำบัญชี ค่าสอบบัญชี ซึ่งแบบบุคคลธรรมดาทำไม่ได้ ดังนั้นวิธีการเพื่อหาภาษีลดหย่อน บริษัทจะสะดวกมากกว่า อีกทั้งส่วนใหญ่แล้ว ผู้ประกอบการร้านอาหาร-คาเฟ่ที่จดทะเบียนบริษัทจะเป็น SMEs คือ ทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5,000,000 บาท และมีรายได้ไม่เกิน 30,000,000 บาท ซึ่งกำไร 300,000 บาทแรก ไม่ต้องเสียภาษี ดังนั้นจึงมีออปชั่นในการทำฐานลดหย่อนภาษีมากกว่าแบบบุคคลธรรมดา ดังนั้น เทคนิคในการลดหย่อนภาษี สำหรับแบบนิติบุคคล/บริษัท อ.ธนัย สรุปไว้ดังนี้ 1. สำรวจว่ามีลดหย่อนอะไรบ้าง 2. ใช้สิทธิได้ครบแล้วหรือยัง 3. มีระบบจัดเก็บเอกสารดีแค่ไหน “ผู้ประกอบการควรทราบว่าตนมีสิทธิอะไรบ้าง โดยแบ่งเป็นสองทาง ทางแรก - คุณเป็นใคร (บุคคลธรรมดาหรือบริษัท) ใช้สิทธิ์ได้แค่ไหน สอง - อัปเดตข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิเสมอ ต้องตามข่าวสารจากกรมสรรพากร ซึ่งตอนนี้มีโครงการคนละครึ่ง โครงการช็อปดีมีคืน และโครงการเราเที่ยวด้วยกัน นี่คือสิ่งที่ต้องรู้ ต้องเปิดหูเปิดตา” ระบบจัดเก็บเอกสารบัญชีที่ดีควรเป็นอย่างไร สังเกตว่า อ.ธนัย ย้ำถึงเรื่องระบบจัดเก็บเอกสารด้านบัญชีให้ดี เพราะหากเมื่อถึงวันที่ผู้ประกอบการจะต้องนำเอกสารมาประกอบการขอลดหย่อนภาษี ถ้าเอกสารไม่ครบก็ย่อมทำให้การขอลดหย่อนภาษีทำได้น้อย อ.ธนัยมี ทริคการเซ็ตระบบจัดเก็บเอกสารเบื้องต้นไว้ดังนี้ 1. ต้องมีการแบ่งรายได้-รายจ่าย เพื่อจัดระบบการเก็บเอกสารรายได้ให้ทราบว่าเข้ามากี่ช่องทาง มีรายจ่ายอะไรบ้าง จ่ายเพื่อซื้อวัตถุดิบ อุปกรณ์ภาชนะใส่อาหาร หรือจ่ายเพื่อสินทรัพย์ จำพวกโต๊ะ เก้าอี้ ฯลฯ ฉะนั้น ควรต้องแบ่งรายการเอกสารและเก็บตามหมวด เช่น หมวดสินทรัพย์ หมวดอุปกรณ์เครื่องครัว หมวดค่าทำการตลาด เป็นต้น 2. วางแผนเรื่องสิทธิภาษีเช่น โต๊ะ เก้าอี้ จะได้รับการคิดค่าเสื่อมราคา มีสิทธิใช้ได้ถึง 5 ปี หรือจะเป็นการซื้อภาชนะอุปกรณ์ ก็สามารถขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม รวมถึงค่าอินฟลูเอนเซอร์ ต้องมีหัก ณ ที่จ่าย “ควรต้องวางแผนเรื่องการซื้อวัตถุดิบและอุปกรณ์ว่าจะซื้อกับใคร เพราะร้านอาหาร-คาเฟ่ ซื้อวัตถุดิบและอุปกรณ์ ทุกวันหรือทุกอาทิตย์ เช่นซื้อที่ Makro ก็สบายใจได้ว่าบิลมีครบ สามารถเก็บเอกสารได้ ถ้ามีการวางแผนที่ดี เพราะว่าทำสิ่งเล็กๆ บ่อยๆ ก็รวมเป็นก้อนใหญ่เอง ดังนั้น วางแผนก่อนก็ช่วยให้ใช้สิทธิได้ครบ” สมัยนี้มีเทคโนโลยีช่วยจัดการเรื่องบัญชีให้ง่ายขึ้น อย่างที่ อ.ธนัย มักย้ำว่าต้องเก็บเอกสารและข้อมูลรายได้รายจ่ายให้ครบ แน่นอนว่าการที่ร้านอาหาร-คาเฟ่ เป็นธุรกิจซื้อมาขายไป ซึ่งในแต่ละวันย่อมมีรายการบัญชียาวเป็นหางว่าว หากแต่ปัจจุบันระบบบริหารจัดการด้านบัญชีไม่ใช่เรื่องยากและวุ่นวาย เนื่องจากมีเทคโนโลยีเข้ามาเป็นตัวช่วยให้เรื่องดังกล่าวง่ายขึ้น เป็นต้นว่า ถ้าจะจัดเก็บบิลด้านรายจ่ายต่าง ๆ ซึ่งเรื่องใหญ่คือ เจ้าของ ‘กลัวบิลหาย’ มากที่สุด แต่ปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยเก็บบิล ใบเสร็จ หรือใบกำกับภาษี ไว้ในระบบออนไลน์ อย่างฟังก์ชัน AutoKey ที่ FlowAccount คิดขึ้น ซึ่งเป็นโปรแกรมที่สามารถเก็บบิลเอาไว้ เพียงแค่สแกนทางเว็บไซต์ หรือถ่ายรูปบิลผ่านแอปพลิเคชันโดยระบบ OCR จะอ่านข้อมูลจากภาพแล้วแปรงเป็นตัวเลขต่าง ๆ ไม่ต้องกรอกข้อมูลให้ยุ่งยากและเสียเวลา สำหรับ FlowAccount เป็นตัวช่วยในการจัดเก็บฐานข้อมูลบัญชีบนคลาวด์ ซึ่งใช้งานได้ทั้งทางเว็บไซต์และโมบาย แอปพลิเคชัน โดยยังมีฟังก์ชันที่จะช่วยผู้ประกอบการร้านอาหาร-คาเฟ่ เรื่องภาษีอย่าง VAT Management ระบบที่จะช่วยจัดการภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยสามารถแจ้งให้ทราบว่ามีใบกำกับภาษีทั้งหมดเท่าไร ใบไหนพร้อมยื่นกรมสรรพากร หรือใบไหนยื่นไม่ได้ ยังแจ้งด้วยว่าใบไหนใช้ยื่นไปแล้ว ซึ่งช่วยให้จัดการเรื่องการใช้สิทธิลดหย่อนได้ครบถ้วน ไม่ตกหล่นนอกจากนั้นยังระบุด้วยว่า ต้องเอาข้อมูลใดไปกรอกในแบบ ภ.พ. 30 รวมถึงสามารถ Export รายงานภาษีซื้อ-ภาษีขายเป็น Excel ออกมาได้อีกด้วย จะเห็นได้ว่า การวางแผนระบบบัญชีที่ดี ย่อมช่วยให้ผู้ประกอบการผ่อนหนักเป็นเบาในด้านภาษีได้ รวมไปถึงการรู้สิทธิประโยชน์ของตัวเอง และเข้าร่วมตามมาตรการช่วยเหลือของรัฐ ก็ช่วยให้เงินไม่ปลิวออกจากกระเป๋าได้หลายใบ แน่นอนว่าธุรกิจก็จะมีตัวเลขผลประกอบการสมเหตุผลด้วยเช่นกัน คลิกอ่านบทความน่ารู้ จากแม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี รวมแหล่งความรู้ Food Delivery สู้วิกฤต มือใหม่เปิดร้านอาหาร การจัดการร้านอาหาร การตลาดเพื่อธุรกิจร้านอาหาร บทสัมภาษณ์ร้านอาหาร การเลือกวัตถุดิบและอุปกรณ์ สูตรอาหาร ข่าวสาร และ สิทธิพิเศษสมาชิก Zero Food Waste
Learn moreหมดไฟเปิดร้านอาหาร ทำอย่างไรให้ร้านไปต่อ
หลาย ๆ คำถามที่มีเข้ามาขอคำปรึกษาช่องทางต่าง ๆ ของเรา บางกรณีสัมผัสได้ถึงอารมณ์ “หมดไฟ” ของเจ้าของกิจการ ซึ่งอาจเป็นอาการเดียวกับผู้ประกอบการร้านอาหารอีกหลาย ๆ ท่านก็เป็นได้ เพราะปีนี้ต้องถือว่าเป็นปีที่แสนสาหัสสำหรับคนทำร้านอาหาร รวมถึงภาคธุรกิจอื่น ๆ เลยทีเดียว ด้วยสถานการณ์โรคระบาดที่แทบจะทำให้ช่วงเวลาค้าขายปกติหายไปทั้งปี ส่งผลกระทบต่อกิจการและจิตใจของผู้ประกอบการโดยตรง แต่อย่างไรก็ตามหากใครที่กำลังเกิดอาการท้อ หมดไฟ ไม่อยากไปต่อ เราอยากให้ลองพิจารณาเรื่องต่อไปนี้กันสักหน่อยก่อนที่จะตัดสินใจใด ๆ หมดไฟเพราะอะไร ยอดขายไม่ดี หรือ กำไรไม่มี ก่อนอื่นลองถามตัวเองดูว่าที่เราหมดไฟ ท้อ ไม่อยากไปต่อเพราะอะไร ซึ่งเชื่อว่าสาเหตุของอาการท้อ หมดไฟ คงมีไม่กี่อย่าง ตัวหลัก ๆ ก็ขายไม่ดี กับ กำไรไม่มี ยิ่งขายก็ยิ่งท้อ ยิ่งเจ็บเพราะต้องควักทุนเติมอยู่ตลอด คนรอบข้างก็คอยแต่จะซ้ำ ถ้าสาเหตุมาจาก 2 ข้อนี้ อยากชวนตั้งสติทบทวนสิ่งที่เราทำมาว่าข้ามจุดสำคัญข้อใดไปหรือไม่ โดยเฉพาะเรื่องของโครงสร้างต้นทุนการทำร้านอาหาร สำคัญข้อแรกเรารู้จุดคุ้มทุน (Break Even Point)ของร้านหรือไม่ เพราะจุดคุ้มทุนคือความสำคัญลำดับแรก ๆ ที่ผู้ประกอบการต้องรู้ เพราะเมื่อรู้จุดคุ้มทุน ก็จะรู้อาการหรือสุขภาพเบื้องต้นของกิจการ เพื่อวางแผนหาทางแก้ไขยอดขายตามมาได้ ถ้าไม่รู้จุดนี้ก็ไปต่อยาก มีผู้ประกอบการจำนวนมากที่ข้ามจุดนี้ไปทำให้เกิดปัญหายิ่งขายยิ่งแย่จนท้อหมดไฟอยากเลิก สูตรหาจุดคุ้มทุน ตัวอย่างการคำนวณจุดคุ้มทุน | Fixed Cost ค่าเช่า 20,000 บ./เดือน ค่าแรง : 32,000 บ./เดือน ค่าเช่าอุปกรณ์และอื่นๆ : 6,700 บ./เดือน รวม Fixed Cost 58,700 บาท | Variable Cost ต้นทุนสมมติเป็นร้านเครื่องดื่ม เฉลี่ย 31% ค่าใช้จ่ายอื่นๆ เฉลี่ย 10% รวม Variable Cost 41% = 99,491.53 บาท/เดือน (ปัดขึ้นเป็น 100,000 บาท) เมื่อรู้จุดคุ้มทุนแล้ว เราก็จะรู้อาการของกิจการร้านเราแล้วละว่าอยู่ในอาการระดับใด ถ้าพบว่าที่ขาย ๆ อยู่ยอดขายยังห่างไกลจากจุดคุ้มทุนก็อย่าเพิ่งยิ่งท้อ เพราะเมื่อเราได้รู้อาการแล้วก็จะสามารถหายารักษาได้ถูกอาการ เริ่มแก้ที่ทำอย่างไรก็ได้ให้ยอดขายถึงจุดคุ้มทุนก่อน แก้ทีละจุดปลดทีละปัญหา แนวทางแก้ก็แน่นอน ต้องเพิ่มยอดขายด้วยการตั้งประมาณการยอดขาย (Project Sale) ว่าแต่ละวันจะต้องขายให้ได้เท่าไหร่ เมื่อรู้ประมาณการยอดขายก็จะนำไปสู่ Action Plan เพื่อให้ได้ยอดขายตาม Project Sale เห็นมั้ยว่ามันมีทางออก ทางไปถ้าเรารู้จุดปัญหา ซึ่งการจะทำให้ได้มาของยอดขาย Project Sale ต้องอาศัยความร่วมมือของทีมงานทุกแผนกต้องประชุมวางแผนทำการบ้านว่าในแต่ละวันจะเชียร์ขายเมนูไหนบ้าง จะเชียร์ขายแบบไหน การกระตุ้นพนักงานให้มีส่วนร่วมก็มีความสำคัญพนักงานเชียร์ขายแล้วเขาจะได้อะไร บางกรณีก็จำเป็นต้องใช้เครื่องมือที่เรียกว่า incentive มาช่วยเติมพลังใจให้พนักงานช่วยกันเชียร์ทำยอดขาย ยิ่งยอดขายเพิ่มพนักงานก็มีผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษ เรื่องการตลาดก็ต้องทบทวนว่าที่ผ่านมาได้ทำอะไรไปบ้าง ร้านเรามีใครรู้จักหรือไม่ ที่ผ่านมาเราได้ให้ความสำคัญกับการตลาดแล้วหรือยัง ถ้ายังก็ต้องมาจริงจังใส่ใจโดยเฉพาะการทำการตลาดบนสื่อโซเชียล รวมถึงการทำรีวิวผ่าน Influencer หรือบล็อกเกอร์ต่าง ๆ ก็ต้องจัดงบการตลาดให้เหมาะสม อย่าลืมช่องทางการขายผ่านเดลิเวอรี่ถ้ายังไม่มีก็ต้องมี เพราะจะเป็นอีกช่องทางที่ช่วยเพิ่มโอกาสยอดขาย ทั้งหมดนี้เป็นวิธีเบื้องต้นที่จะทำให้ยอดขายของร้านถึงจุดคุ้มทุนให้ได้ แล้วจากนั้นจึงจะวางแผนเพื่อกำไรต่อไป เติมเชื้อไฟสู้ดูตัวอย่างร้านสำเร็จ อีกหนึ่งวิธีที่อยากชวนให้ทำสำหรับคนกำลังหมดไฟคือ การเอาตัวเองออกมาจากร้าน จากปัญหาต่าง ๆ สักครู่ แล้วออกไปดูร้านอื่น ๆ ร้านเล็ก ร้านกลาง ร้านใหญ่ ว่าเขาทำอะไรอย่างไรบ้าง หาแรงบันดาลใจจากร้านที่เขาสู้ไม่ถอยจนถึงจุดที่สำเร็จคือมียอดขายดี มีลูกค้าประจำ เหลือกำไร เอาตัวเองไปหาโอกาสพูดคุยกับเจ้าของกิจการเหล่านั้น หรือ ติดตามเรื่องราวของคนเหล่านั้นจากสื่อต่าง ๆ ที่มีให้ได้ติดตามมากมาย ดูเพื่อสร้างกำลังใจให้ตัวเอง เพราะมีหลาย ๆ กรณีตัวอย่างที่เริ่มจากศูนย์ สู้ไม่ท้อ กว่าจะสำเร็จไม่ง่าย แต่ก็ผ่านทุกปัญหามาได้ ตัวอย่างเหล่านี้คือเชื้อไฟที่ดี และยังมีแนวไอเดียต่าง ๆ ให้ได้นำกลับมาปรับใช้อีกด้วย เมื่อวิกฤต ทำให้หน้าร้านต้องปิด นักท่องเที่ยวต่างชาติหาย ยอมสู้ไม่ถอย จนยอดขายออนไลน์พุ่ง 6 แสนบาท/เดือน คุณณัฐธันยพร คณาธิปสกุลสิริ เจ้าของร้าน Sushi & Ramen Factory มีวิธีการแก้ไขสถานการณ์อย่างไร คลิกดู MHA TALK แกะรอยความสำเร็จร้านดังทุกตอนได้ที่นี่ คุณออย เจ้าของร้าน Palate Bar & Restaurant ยอมออกจากงาน ลงทุนหมดหน้าตัก 3 ล้าน กำลังไปได้สวย...เจอไวรัสพ่นพิษ รายได้เป็น 0 เชฟป้อและคุณโบว์ ผู้เชี่ยวชาญจาก MHA ออกเดินทางให้คำปรึกษา พร้อมแชร์การจัดโปรโมชั่นเพื่อดึงลูกค้าเข้าร้านให้ยอดขายถึงจุดคุ้มทุน และเทคนิคเพิ่มยอดขายด้วยข้าวกล่อง คลิกดู MHA ADVISE ปั้นธุรกิจสู่มืออาชีพทุกตอนได้ที่นี่ การอยู่ติดกับปัญหามีแต่จะทำให้เราเหนื่อย ท้อ หมดไฟ และยังทำให้เรามองไม่เห็นทางไปต่อ ถอยตัวเองออกมาสักระยะหนึ่งแล้วมองปัญหาของคนอื่นก่อนจะกลับมามองปัญหาร้านตัวเองจากมุมอื่นดูบ้าง เติมความรู้เพื่อให้ไปต่ออย่างถูกวิธี สำคัญที่สุดต่อให้เรารู้ว่าเรามีปัญหาอะไร แต่ถ้าเราไม่รู้วิธีแก้ไขก็ไม่รู้ว่าจะไปต่ออย่างไร ดังนั้นความรู้คืออาวุธจำเป็นที่ผู้ประกอบการต้องมี เพราะความรู้จะช่วยให้เราสามารถจัดการกับปัญหาได้ ปัจจุบันมีแหล่งความรู้เกี่ยวกับการจัดการธุรกิจร้านอาหารให้ได้ศึกษามากมาย โดยเฉพาะที่ MHA เราได้จัดเตรียมความรู้ในทุกด้านการจัดการร้านอาหารแบ่งเป็นหมวดหมู่วิชา คัดสรรแต่เฉพาะผู้เชี่ยวชาญในด้านความรู้นั้น ๆ มาแบ่งปันให้กับผู้ประกอบการได้เรียนรู้กันอย่างฟรี ๆ ไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น คลิกดูคอร์สทั้งหมดได้ที่นี่ สามารถลงทะเบียนเรียนที่มุมบนขวามือฟรี แต่สุดท้าย ถ้าไม่ไหวอย่าฝืน แต่สุดท้ายถ้าหากเราทำทุกอย่างเต็มที่แล้ว หรือเมื่อหาจุดคุ้มทุนแล้วพบว่าโอกาสที่จะทำยอดขายให้ถึงจุดคุ้มทุนสำหรับร้านนี้ บนทำเลนี้ เป็นเรื่องยาก การหยุดไม่ฝืนไปต่อให้เจ็บหนักมากขึ้นก็อาจเป็นทางเลือกที่ดี แต่ก่อนที่จะมาถึงจุดนี้ อยากให้กลับไปทบทวนและทำทุกประเด็นข้างต้นให้ครบถ้วนเสียก่อน คลิกอ่านบทความน่ารู้จากแม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี เช็คโอกาสทางธุรกิจ ร้านแบบไหนสามารถทำเงินได้ในช่วงนี้ ที่ร้านขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โฆษณาเรียกลูกค้าได้หรือไม่ แชร์ไอเดียธุรกิจ ขายอาหารแนวไหน ไปต่อได้ในยุคนี้ เมื่อต้องการขยายสาขา ผู้ประกอบการควรคำนึงถึงอะไรบ้าง? ไขข้อสงสัย “การทำบัญชี” ช่วยลดต้นทุน เพิ่มกำไรที่ร้านได้อย่างไร? บทความในหมวดอื่น ๆ ที่น่าสนใจ มือใหม่เปิดร้านอาหาร การจัดการร้านอาหาร การตลาดเพื่อธุรกิจร้านอาหาร บทสัมภาษณ์ และรีวิว การเลือกวัตถุดิบและอุปกรณ์ สูตรอาหาร Zero Food Waste
Learn moreอัพเดทเทรนด์ Tiktok ปี 2021 ที่ผู้ประกอบการต้องรู้ จับมาใช้ ขายดีแน่
ชั่วโมงนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก แอป TikTok แอปสัญชาติจีนที่กำลังฮิตกันไปทั่วโลก ในรูปแบบของวิดีโอสั้นที่ผู้ใช้สามารถสร้างสรรค์คลิปวิดีโอเป็นของตัวเองได้อย่างง่ายดาย โดยจะมีทั้งลูกเล่นเอฟเฟค เพลง หรือเสียงให้กับผู้ใช้ได้ใช้งานในแอปเลย และสามารถแชร์ให้กับเพื่อนหรือแชร์สาธารณะให้คนทั่วไปสามารถเข้ามาดู เข้ามาติดตามได้อีกด้วย หลายคนอาจจะคิดว่า TikTok มีแต่คลิปเต้นเท่านั้น อันที่จริง Tiktok ยังรวมเอาคลิป Life style ที่น่าสนใจเอาไว้อีกมาก เช่น คลิปทำอาหาร คลิปให้ความรู้ DIY Live Hack เป็นต้น และจากอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็วของยอดผู้ใช้งาน ซึ่งคาดการกันว่าจะแตะยอด 2 พันล้านดาวน์โหลดในไม่ช้านี้ โดยเฉพาะในประเทศไทยที่ยอดผู้ใช้เพิ่มขึ้นเกินกว่า 100% ในเวลาไม่ถึงหนึ่งปีนั้น ทำให้ TikTok เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือการตลาดที่เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น ผู้ประกอบการหลายท่านเริ่มใช้ช่องทางนี้เป็นการตลาดอีกทาง รวมถึงการสร้างโปรโมชั่นต่าง ๆ ผ่าน Challenge ด้วย วันนี้ MHA จะมาอัพเดทเทรนด์ TikTok สำหรับปี 2021 ที่จะถึงนี้ เพื่อเป็นข้อมูลในการทำการตลาดร้านอาหารให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นและขายดีขึ้นในปีหน้า 10 เทรนด์ TikTok ปี 2021 1. เหล่า Influencer ทั้งหลายจะขยับมาใช้ TikTok กันมากขึ้น เมื่อพูดถึง Influencer เรามักจะนึกถึง Instragram หรือ Facebook แต่จากผลสำรวจในปี 2020 พบว่า ร้อยละ 35 ของ Influencer เริ่มใช้ TikTok มากขึ้นจากปีที่ผ่านมา นั่นทำให้การตลาดแบบ Influencer มีการเคลื่อนไหวมากขึ้น ทั้งจากทางฝั่ง influencer และทางฝั่งแบรนด์ หลายสินค้าเริ่มมีฝ่ายการตลาดที่ดูแลด้าน influencer โดยเฉพาะ และ TikTok ถือเป็นเครื่องมือที่แบรนด์ให้ความสำคัญด้วยเช่นกัน สำหรับธุรกิจร้านอาหาร : สำหรับร้านอาหารถือเป็นโอกาสดี เพราะนอกจากจะมีช่องทางใหม่ในการนำเสนอร้านอาหาร เหล่านักรีวิวและ Influencer ก็กำลังมองหา Content ที่จะนำเสนอผ่าน TikTok อยู่เช่นกัน โดยเฉพาะนักรีวิวหน้าใหม่ๆ ที่จะมีจำนวนมากขึ้น เพราะความง่ายในการสร้าง Content ของ TikTok ที่ถือว่าง่ายกว่าโซเชียลมีเดียอื่นๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน 2. TikTok จะโฟกัสไปที่ Social Commerce หากนึกไม่ออก ลองนึกถึงการซื้อขายสินค้าใน Social Media ต่างๆ โดยที่ไม่ต้องออกจากแอปเหล่านั้น เพื่อไปเข้าแอปช้อปปิ้งออนไลน์อีกต่อไป และ TikTok กำลังจะเปิดโอกาสให้ผู้ค้าสามารถ "ขาย" สินค้าตัวเองบน TikTok เพื่อช่วยเร่งยอดขายให้กับสินค้านั้นมีการวิเคราะห์ว่า กระบวนการซื้อขายระหว่างผู้ขายสินค้ากับผู้ซื้อ จะเริ่มต้นและเสร็จสิ้นกระบวนการทั้งหมดบนแอป Tiktok ได้เลย นอกจากนี้เพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับธุรกิจและผู้ค้า ทางผู้ค้าจะได้รับทุน 300$ หรือประมาณ 9,000 บื สำหรับแคมเปญ Tiktok แรกของพวกเขา สำหรับธุรกิจร้านอาหาร : หากร้านอาหารมีบริการจัดส่งอาหารถึงที่ นี่ถือเป็นโอกาสดีที่จะเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายของร้าน สำหรับร้านใดที่คุ้นเคยกับการขายผ่านโซเชียลมีเดียอยู่แล้วคงเรียนรู้เพิ่มเติมไม่ยาก แค่ถ้ายังไม่เคย นี่อาจเป็นเวลาที่ต้องเริ่มทำแล้ว 3. แบรนด์ต่าง ๆ จะใช้ Hashtag challenge กันอย่างมาก สำหรับผู้ใช้ TikTok จะเคยชินกับ challenge ต่างๆ อยู่พอสมควร และเราเริ่มเห็นสินค้าหลายแบรนด์เริ่มทำ challenge กันแล้วในปีที่ผ่านมา ซึ่งองค์ประกอบนี้เป็นการกระตุ้นผู้ใช้งานให้อยากมีส่วนร่วมกับแบรนด์ โดยการสร้างสรรค์วิดีโอตามโจทย์ที่แบรนด์กำหนด และเผยแพร่ออกสู่สาธารณะ ซึ่งจุดนี้เองที่นักวิเคราะห์มองว่าเป็นการสร้างการรับรู้ตราสินค้าและแพร่กระจายแบบไวรัลได้ง่าย สำหรับร้านอาหาร : ลองศึกษา challenge ต่างๆ ที่ประสบความสำเร็จ แล้วลองมาปรับใช้กับธุรกิจของเรา และมีความเป็นไปได้สูงที่ Hashtag ที่สร้างขึ้นจะได้รับการกระจายต่อแบบไวรัล ซึ่งเมื่อเทียบกับการผลิตงานในสื่ออื่นๆ แล้ว ถือว่างบประมาณต่ำมาก 4. วิดีโอโฆษณาจะมีมากขึ้น ภาพรวมของการใช้ Video Marketing เพิ่มขึ้นจาก 61% เป็น 85% ในปี 2020 สำหรับ TikTok นั้นแน่นอนว่าด้วยอัตราผู้ใช้งานที่เติบโตอย่างรวดเร็วขนาดนี้ TikTok ย่อมเป็นที่ต้องการของนักการตลาดทั้งหลายในปัจจุบัน หลังจากเปิดตัว TikTok for Business เพื่อให้ข้อมูลและสอนการทำโฆษณาบน TikTok ในปีที่ผ่านมา นักวิเคราะห์มองว่า วิดีโอโฆษณาจะมีมากขึ้นในปี 2021 ที่จะถึงนี้ สำหรับร้านอาหาร : ถือเป็นจุดที่ช่วยลดข้อจำกัดในการผลิตวิดีโอโฆษณา เพราะจากคุณสมบัติของ TikTok ที่สามารถสร้างวิดีโอได้แบบง่ายๆ และมีแหล่งศึกษาข้อมูลฟรีให้ศึกษาก่อนทำวิดีโอโฆษณา 5. สร้างกระแสจาก #meme ถ้านึกไม่ออกว่า มีม คืออะไร ให้ลองนึกถึงเวลาที่มีเรื่องราว เหตุการณ์ หรืออะไรที่ฮิต เป็นกระแสขึ้นมาในเวลานั้น และถูกจับมาทำใหม่ ล้อเลียน เล่น หรืออะไรก็ตามที่พลเมืองโซเชียลหยิบมาเล่นกัน อย่างในช่วงที่ผ่านมา มีการนำรูปปั้นสัตว์หน้าโบสถ์มาลงโซเชียลด้วยความแปลก และถูกนำไปวาดใหม่โดยนักวาดการ์ตูนหลายคนจนเกิดเป็นมีม สัตว์หิมพานมาร์ชเมลโล่ ขึ้นนั่นเอง สำหรับ TikTok เองก็ไม่ต่างกัน นักวิเคราะห์มองว่า ชาวโซเชียลไม่ว่าจะอยู่บนสื่อใด ต่างกระหายหามีมในการติดตามหรือเล่นตามด้วยกันทั้งนั้น สำหรับร้านอาหาร : หากจับกระแสได้ติดและรู้จักการนำมีมมาเล่นกับวิดีโอ ก็สามารถสร้างการรับรู้และจดจำร้านอาหารได้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะบนแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้จำนวนมากรอติดตามและรอทำตามอยู่อย่าง TikTok 6. Remixing UGC คือเทรนด์ใหม่ Remixing UGC หรือที่เราเรียกเต็มๆ ว่า Remixing User Generated Content คือการสร้างสรรค์คอนเทนต์ผ่าน Template บนแพลตฟอร์มที่มี มาสร้างสรรค์ใหม่ในสไตล์ตัวเอง โดยการใช้ Background Music หรือ ฟิลเตอร์ มาใช้ในรูปแบบหลากหลายตามสไตล์ เช่น การเต้นในรูปแบบต่าง ๆ หรือ สถานที่ที่แปลก ๆ แล้วส่งต่อไปจนเป็นไวรัล เป็นต้น มาถึงจุดนี้หลายคนเริ่มสงสัยว่า video marketing บนโซเชียลอื่นๆ ก็มีเหมือนกัน แล้ว Tiktok แตกต่างอย่างไร? คำตอบคือ TikTok มีเครื่องมือในการสร้างสรรค์วิดีโอให้อย่างครบถ้วนในตัวเอง ผู้ใช้สามารถกดถ่ายวิดีโอได้จากในแอปเลย โดยมีฟิลเตอร์และเอฟเฟคให้พร้อม สามารถเลือกเพลง เสียงประกอบ ที่มีไว้ให้เช่นกัน โดยแยกหมวดหมู่ชัดเจน ซึ่งองค์ประกอบเหล่านี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถใส่จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ลงไปในวิดีโอได้ง่ายมากขึ้น สำหรับร้านอาหาร : ลองศึกษาวิธีการสร้างองค์ประกอบฟรีต่างๆ เหล่านี้ ที่จะอยู่บน TikTok ให้ผู้ใช้งานคนอื่นๆ สามารถหยิบมาใช้ได้ จะช่วยสร้างสีสันให้กับแบรนด์ได้ดี 7. เซเลบก็เข้าสู่วงการ TikTok เช่นกัน เหล่าคนดังทั้งหลายก็กระโดดเข้าร่วมกับ Tiktok เป็นจำนวนมาก เพราะจากสถิติพบว่า กลุ่มผู้ใช้งาน TikTok ส่วนใหญ่คือ Gen Z (ช่วงอายุระหว่าง 9-22 ปี)ซึ่งเป็นกลุ่มที่ใช้โซเชียลมีเดียไม่ต่ำกว่า 2-4 ชั่วโมงต่อวัน เป็นกลุ่มที่เรียกว่า Digital Native หรือเป็นพลเมืองดิจิทัล ที่เกิดมาพร้อมกับเทคโนโลยี มีความความมั่นใจในตัวเองสูง และ Gen Z คือฐานลูกค้าที่สำคัญของเหล่านักร้องนักแสดง ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เหล่าคนดังทั้งหลายจะขยับมาสู่ TikTok กันมากขึ้น สำหรับร้านอาหาร : ปกติเมื่อก่อนหากมีเหล่าเซเลบมาใช้บริการที่ร้าน เรามักจะอดไม่ได้ที่จะขอถ่ายภาพร่วม เพื่อนำมาติดหรือโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นภาพนิ่ง แต่ในอนาคตอาจลองเพิ่มวิดีโอ TikTok ขึ้นมาอีกสื่อหนึ่งก็ได้ เพราะใช้เวลาไม่นานในการถ่าย 8. TikTok คือช่องทางโปรโมทเพลงที่จะขาดไม่ได้ ลืมการโปรโมทเพลงแบบเดิมๆ ในโซเชียลมีเดียอื่นๆ ไปก่อน สิ่งที่ TikTok มีเพิ่มเติมเข้ามาคือ Duet และ Stitch นั่นคือฟังก์ชั่นที่สามารถนำวิดีโอของคนอื่นมาทำเป็นวิดีโอของตนเองแบบดวลกัน หน้าจอคู่ หรือ นำมาแปะวิดีโอของเราเพิ่มเติมได้ ซึ่งนักการตลาดมองว่าไม่เคยมีมาก่อนในโซเชียลมีเดียตัวอื่น และมองว่านี่คือสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างนักสร้างสรรค์กับTikTok และช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ยังไม่ได้กดติดตามได้ โดยอาศัยวิดีโอที่มียอดวิวสูง เป็นตัวช่วย สำหรับร้านอาหาร : คุณสมบัตินี้นับว่าช่วยแก้ปัญหาการไม่มีคนดูคอนเทนต์ของร้านอาหารได้เป็นอย่างดี โดยไม่ต้องเสียเงินค่า Boost แบบเก่า อย่างไรก็ตามควรศึกษานโยบายการทำธุรกิจับการลงวิดีโอใน TikTok ให้ละเอียดอีกที 9. TikTok Trends คือ ช่องโทรทัศน์ช่องใหม่ แม้ว่า TikTok จะอยู่ในรูปแบบวิดีโอสั้นต่างจากรายการโทรทัศน์ทั่วไป แต่หากพิจารณาดี ๆ จะพบว่ามีความคล้ายกันอยู่มาก เมื่อผู้ใช้พบ #Hashtag ที่ตนเองสนใจและติดตามวิดีโอภายใต้ #Hashtag นั้นไปเรื่อยๆ นั่นไม่ต่างจากการเลือกช่องในโทรทัศน์ โดยที่เนื้อหาที่ยาวเกินเวลาจะถูกผู้ใช้ตัดต่อให้เป็นตอน หรือ episode โดยผู้ชมรอจะติดตามวิดีโอใหม่ของผู้สร้างสรรค์ เหมือนรอรายการโทรทัศน์ตอนต่อไปที่จะออนแอร์บนทีวี ดังนั้นในปีหน้านี้เราจะเห็นนักสร้างสรรค์วิดีโอบน Tiktok ทำวิดีโอแบบเป็นตอนเพื่อให้ผู้ชมติดตามชมกับมากขึ้น และจะเห็นรายการโทรทัศน์ทั้งหลายเริ่มเอาเนื้อหามาตัดทอนให้อยู่ในรูปแบบ episode และนำมาลงใน TikTok กันมากขึ้น สำหรับร้านอาหาร : เนื้อหาที่ได้รับความนิยมใน TikTok ไม่ใช่แค่การเต้นหรือความบันเทิงเท่านั้น แต่วิดีโอสอนการทำอาหารก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กันดังนั้นหากมีความสามารถในการคิดเนื้อหาอย่างสม่ำเสมอ จนมีผู้ติดตามเป็นจำนวนมากได้จะเป็นประโยชน์ต่อการโปรโมทร้านเป็นอย่างมาก 10. ใช้ความจริงสร้างเอกลักษณ์ตราสินค้าให้กับแบรนด์ อย่างที่ทราบกันดีว่า TikTok ให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่เป็นความจริง และเป็นของแท้ (Real & Genuine) ซึ่งนักการตลาดมองว่า ถ้าเนื้อหาดังกล่าวเกี่ยวข้องกับความสนใจของกลุ่มเป้าหมายด้วยจะยิ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก นี่จำเป็นคำตอบว่าทำไมคลิปเบื้องหลัง คลิปวิธีทำ หรือคลิปที่มีลักษณะ real ไร้การแต่งเติม ไร้ฟิลเตอร์ จึงประสบความสำเร็จได้ใน TikTokนักวิเคราะห์มองว่าเกิดจากลักษณะของ Gen Z ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของ TikTok ที่เบื่อหน่ายกับเนื้อหาที่ดูไม่จริงหรือจัดฉากแบบเดิม และแม้ว่าการทำการตลาดโดยใช้เนื้อหาแบบ Real จะไม่ใช่ของใหม่แต่ก็ยังเป็นเทรนด์ที่สำคัญในปี 2021 สำหรับร้านอาหาร : นี่เป็นโอกาสดีอีกเช่นกัน สำหรับเนื้อหาประเภทแนะนำวิธีทำเมนูอาหาร เบื้องหลังเมนูเด็ดประจำร้าน จากการสำรวจพบว่าหากเราดูวิดีโอการทำอาหารไปเรื่อยๆ เราจะรู้สึกอยากทานอาหารขึ้นมาได้ หรือแม้กระทั่งวิดีโอแนะนำร้านแบบตรงๆ ไม่แต่งเติม จัดฉาก โดยอาจจะหยอดมุกให้ดูสนุกขึ้นมาอีกหน่อย หรือเล่นกับ Challenge ของ TikTok และจับมีมมาเล่นให้ถูกจังหวะ จะสร้างการรับรู้และจดจำร้านอาหารได้ดี สรุป จะเห็นได้ว่า TikTok เป็นเครื่องมือหนึ่งที่สามารถนำมาใช้ทำการตลาดได้ดี เพราะมีลักษณะการใช้งานที่ง่ายและมีองค์ประกอบที่เอื้อต่อการสร้างสรรค์วิดีโอครบ โดยรวมแล้ว MHA เห็นว่า TikTok เหมาะกับการทำการตลาดร้านอาหารไม่แพ้โซเชียลมีเดียอื่น ๆ โดยเฉพาะร้านอาหารที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่ม Gen Z ทั้งนี้ควรศึกษาถึงนโยบายของTikTok ให้ดีซะก่อน มิเช่นนั้นอาจโดนปิดกั้นการมองเห็น หรือโดนแบนได้ แล้วกลับมาพบกับเนื้อหาการตลาดดีๆ กับ MHA ในตอนต่อไป คลิกอ่านบทความน่ารู้จากแม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี ร้านขายดี เพราะยิงโฆษณาแบบนี้นี่เอง! เหมาะกับร้านขนาดเล็ก หรืองบน้อยก็ปังได้ 5 ลูกเล่น “Robinhood” ดีต่อธุรกิจ ที่เจ้าของร้านอาหารต้องรู้ ทำ Content อาหารอย่างไรให้น่ากิน เล่าเรื่องร้านอย่างไร ให้ขายดี ขายดีหัวกระไดไม่แห้ง! เรียกลูกค้าใหม่ด้วย Facebook กระตุ้นลูกค้าเก่าด้วย Line OA เปลี่ยนลูกค้าขาจร เป็นลูกค้าขาประจำ เพื่อสร้างฐานลูกค้าของร้านให้แน่นปึก บทความในหมวดอื่น ๆ ที่น่าสนใจ มือใหม่เปิดร้านอาหาร การจัดการร้านอาหาร การตลาดเพื่อธุรกิจร้านอาหาร บทสัมภาษณ์ และรีวิว การเลือกวัตถุดิบและอุปกรณ์ สูตรอาหาร Zero Food Waste
Learn moreรวม 6 เมนูแห่งเทศกาลน่าทำขาย จับกลุ่มลูกค้าปาร์ตี้ พร้อมสูตรและวิธีการทำ
สัปดาห์สุดท้ายของปี คนส่วนใหญ่ถือเป็นช่วงเวลาแห่งการพักผ่อน ท่องเที่ยว และจัดงานเฉลิมฉลอง บรรยากาศครื้นเครงเพื่อต้อนรับปีใหม่อย่างอบอุ่น แน่นอนว่าของเหล่านี้มาคู่กับ “เรื่องกิน” ในปริมาณการซื้อที่มากกว่าปกติ ถือเป็นช่วงเวลาที่ผู้ประกอบการสามารถโกยเงินได้จากเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ได้อย่างมหาศาล ถ้ารู้จักเลือกเมนูยอดนิยมทำขาย หรือจัดโซนให้ลูกค้าได้ปาร์ตี้ (หรือไม่ก็รับจัดปาร์ตี้เองซะเลย) MHA ไม่พลาดที่จะมาแชร์ 6 เมนูสุดฮิต ขายช่วงเทศกาลก็ดี หรือหมดช่วงเทศกาลลูกค้าก็ซื้อ สูตรเด็ดจากเชฟคนดังการันตีความอร่อยให้คุณถึงที่ พร้อมแล้วก็ไปดูกันเลย! เฟรนฟราย 3 เมนู 3 สไตล์ ไก่ทอดหาดใหญ่ พิซซ่า 5 หน้า หมูย่างซอสบาร์บีคิว ปาร์ตี้หมูหมู ขนมปังปิ้ง 7 หน้า เฟรนฟราย 3 เมนู 3 สไตล์ ส่วนผสม เม็กซิกันเฟรนช์ฟรายส์นาโช เฟรนช์ฟรายส์แบบหยัก ตรา เอโร่ 200 กรัม น้ำมันปาล์มสำหรับทอด 1 ลิตร น้ำมันพืช 30 กรัม เนื้อบด 200 กรัม สโมคปาปริก้า 1 ช้อนชา ผงยี่หร่า ½ ช้อนชา หอมหัวใหญ่ (หั่นเต๋าเล็ก) 50 กรัม มะเขือเทศเนื้อ (หั่นเต๋าเล็ก) 80 กรัม พริกจาลาปิโน (หั่นเต๋าเล็ก) 30 กรัม ถั่วแดงกระป๋อง 80 กรัม มะกอกดำ (หั่นเต๋าเล็ก) 60 กรัม เกลือป่น ปรุงรส พริกไทยดำป่น ปรุงรส น้ำตาลทรายขาว ปรุงรส ผักชี (ซอย) 1 กรัม เชดดาชีสขูด7 0 กรัม ซาวครีม 60 กรัม ต้นหอม (ซอย) 2 กรัม วิธีทำ ตัดเฟรนช์ฟรายส์แบบหยัก ตรา เอโร่ออกจากถุงแล้วนำไปทอด ในอุณหภูมิ 175 °C ใช้เวลาทอด 10-12 นาที นำเนื้อบดลงไปทอดในกระทะโดยใช้ไฟแรงในการผัด และใส่ผงสโมคปาปริก้า ผงยี่หร่า ตามปริมาณข้างต้น ผัดให้เข้ากัน จากนั้นใส่ส่วนผสมตามอักษรสีเขียว ตามปริมาณข้างต้น ผัดผักและส่วนผสมให้สุก จากนั้นใส่ส่วนผสมตามอักษรสีฟ้า นำเฟรนช์ฟรายส์ใส่ภาชนะ พร้อมราดทอปปิ้งที่เราทำในข้อ 2 โรยด้วยเชดดาชีสขูด แล้วนำเข้าเตาอบไฟบน 5 นาที ใช้อุณหภูมิ 180 °C เพื่อให้ชีสละลาย โรยหน้าด้วยซาวครีม ต้นหอม เป็นอันเสร็จ ส่วนผสมเฟรนช์ฟรายส์คาร์โบนาร่า เฟรนช์ฟรายส์แบบแท่งเล็กตรง ตรา เอโร่ 200 กรัม น้ำมันปาล์มสำหรับทอด 1 ลิตร น้ำมันพืช 20 กรัม เบคอนรมควัน (หั่นเป็นเส้น) 80 กรัม หอมใหญ่ (สับละเอียด) 40 กรัม เห็ดแชมปิญอง (สไลด์) 65 กรัม น้ำสต๊อกไก่ 60 กรัม คุกกิ้งครีม 100 กรัม เกลือป่น ปรุงรส พริกไทยดำ ปรุงรส น้ำตาลทรายขาว ปรุงรส พาเมซานชีส (ขูด) 10 กรัม มอซซาเรลล่าชีส (ขูด) 50 กรัม พาร์สย์ลี่อิตาเลียน (สับหยาบ) 1 กรัม คลิกดูวิธีทำได้ที่นี่ ส่วนผสม เฟรนฟรายส์กับสตูว์เนื้อเบลเยี่ยม เฟรนช์ฟรายส์แบบแท่งตรงใหญ่ ตรา เอโร่ 200 กรัม สันคอวัว (หั่นเต๋าใหญ่) 200 กรัม เกลือป่น ปรุงรส พริกไทยดำ ปรุงรส แป้งสาลี 15 กรัม น้ำมันพืช 50 กรัม หอมใหญ่ (สไลด์) 50 กรัม แครอท (หั่นเต๋า) 70 กรัม เชเลอรี่ (หั่นเต๋า) 70 กรัม กระเทียม (บุบ) 20 กรัม มะเขือเทศบดเข้มข้น 40 กรัม เบียร์ดำเบลเยียม 150 กรัม น้ำสต๊อกเนื้อ 650 กรัม ใบกระวาน 2 ใบ ใบไทม์สด 1 กรัม พริกไทยดำป่น ปรุงรส เกลือป่น ปรุงรส น้ำมันปาล์มสำหรับทอด 1 ลิตร มัสดาร์ดสีเหลือง 30 กรัม พาร์สย์ลี่อิตาเลียน (สับหยาบ) 1 กรัม เลื่อนขึ้นเพื่อดูวิธีการทำจากเชฟอาร์ในคลิป ไก่ทอดหาดใหญ่ ยกระดับไก่ทอดธรรมดาในงานปาร์ตี้ เป็นไก่ทอดหาดใหญ่ แค่ได้ยินชื่อท้องก็ร้อง เพราะเสียงลือเสียงเล่าอ้างในความอร่อยที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน คิดถึงหอมเจียวกรอบ ๆ ทานคู่กับสูตรไก่ทอดฉ่ำ ๆ พร้อมเคล็ดลับทำให้ไก่กรอบนาน โดยใช้ ทับทิม น้ำมันปาล์มสำหรับทอด ไม่มีไขมันทรานส์ปิดท้ายด้วยการจิ้มน้ำจิ้มสักนิด จกข้าวเหนียวสักหน่อย อร่อยอิ่มท้อง แถมทำง่ายขายดี การันตีสูตรอร่อยจากเชฟโอ๋ มาดูสูตรและวิธีทำกันเลย ส่วนผสม ทับทิม น้ำมันปาล์ม (สำหรับทอด) หอมแดงซอย 60 กรัม กระเทียมไทย 15 กรัม ยี่หร่าป่น ¼ ช้อนชา เม็ดพริกไทยขาว ¼ ช้อนชา ลูกผักชี ½ ช้อนชา ซอสปรุงรส ½ ช้อนโต๊ะ ทับทิม น้ำมันปาล์ม (สำหรับหมัก) 15 กรัม เกลือ ¾ ช้อนชา ผงปรุงรส 1 ช้อนชา น้ำตาลทรายแดง ¾ ช้อนโต๊ะ แป้งสาลี 25 กรัม น้ำเปล่า 30 มิลลิลิตร น่องไก่ติดสะโพก 1 ชิ้น ส่วนผสมน้ำจิ้ม พริกชี้ฟ้าแดง 10 กรัม รากผักชี 1 ราก กระเทียม 20 กรัม น้ำเปล่า 2 ช้อนโต๊ะ น้ำส้มสายชู 50 มิลลิลิตร เกลือป่น 1 ช้อนชา น้ำตาลทราย 120 กรัม วิธีทำ 1. ทำการเจียวหอม ด้วยการใส่หอมแดงซอย ลงไปในน้ำมันปาล์มทับทิม ซึ่งจะช่วยให้กรอบนานยิ่งขึ้น แถมไม่มีไขมันทรานส์อีกด้วย และต้องใช้ไฟที่ไม่แรงจนเกินไป เพราะอาจะทำให้หอมเจียวไม่กรอบได้ 2. หลังจากเจียวหอมเสร็จเรียบร้อย ขั้นตอนต่อไปมาทำน้ำจิ้ม ด้วยการนำพริกชี้ฟ้าแดง รากผักชี กระเทียม ตามปริมาณข้างต้น โขลกให้เป็นเนื้อละเอียดจนเป็นเนื้อเดียวกัน 3. นำน้ำเปล่า 2 ช้อนโต๊ะ ลงไปในหม้อ ตามด้วย น้ำส้มสายชู เกลือป่น น้ำตาลทราย ตามปริมาณในส่วนของน้ำจิ้มที่กล่าวไว้ข้างต้น แล้วตั้งไฟเคี่ยว เมื่อน้ำเดือดแล้วให้ใส่ส่วนผสมที่เราโขลก (จากข้อ 2) ลงไปในหม้อ คนให้เข้ากัน จากนั้นปิดแก๊ส 4. ทำเครื่องหมักไก่ด้วยการนำส่วนผสมตามอักษรสีเขียว ใส่ในครก โขลกให้ละเอียด จากนั้นใส่พาชนะที่เราจะหมักไก่ แล้วใส่ส่วนผสมตามอักษรสีฟ้า คนจนเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำน่องไก่ติดสะโพกลงไปหมักขั้นต่ำ 30 นาที 5. ลงกระทะทอด โดยเอาด้านหนังลงก่อน ใช้ไฟอ่อน ค่อนกลาง เมื่อสุกแล้วก็ปาร์ตี้ได้เลย! พิซซ่า 5 หน้า แนะนำอีกหนึ่งเมนูสุดฮิตในงานปาร์ตี้ น่าทำขาย นั่นก็คือ พิซซ่า อาหารจานด่วนจากชาวอิตาลี ที่เราคัดสรรสูตรเด็ดมาให้ผู้ประกอบการทำขายถึง 5 หน้าเลยทีเดียว เพราะเป็นเมนูทำง่าย ทานง่าย ขวัญใจทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เพียงแค่เรามีแป้งพิซซ่า โรยหน้าด้วยวัตถุดิบแสนอร่อย ได้คุณภาพอย่างซูเปอร์เชฟ และนำเข้าเตาอบ เป็นอันเสร็จ! นอกจากจะรังสรรค์พิซซ่าได้หลากหลายหน้า สามารถนำมาทำเมนูอื่น ๆ ได้อีกเพียบ ว่าแล้วก็ไปดูส่วนผสม พร้อมวิธีการทำกันเลย ส่วนผสมพิซซ่าหน้าแฮมเบค่อนสไลซ์ แป้งพิซซ่า 1 แผ่น ซอสพิซซ่าสำเร็จรูป 25 กรัม ซูเปอร์ เชฟ แฮมเบค่อนสไลซ์ 20 กรัม หอมหัวใหญ่ 5 กรัม มอสซาเรลล่าชีส 20 กรัม ส่วนผสมพิซซ่าหน้าบาร์บีคิวโบโลน่าชิคเก้น แป้งพิซซ่า 1 แผ่น ซอสพิซซ่าสำเร็จรูป 25 กรัม ซูเปอร์ เชฟ โบโล่น่า 20 กรัม อกไก่หั่นชิ้น 10 กรัม พริกหวาน 5 กรัม ซอสบาร์บีคิว 10 กรัม มอสซาเรลล่าชีส 20 กรัม ส่วนผสมพิซซ่าหน้าซีฟู้ด แป้งพิซซ่า 1 แผ่น ซอสพิซซ่าสำเร็จรูป 25 กรัม ปูอัด 20 กรัม กุ้งขาวตัวเล็ก 4 ตัว พริกหวาน 5 กรัม หอมหัวใหญ่ 5 กรัม มอสซาเรลล่าชีส 20 กรัม ส่วนผสมพิซซ่าหน้าฮาวายเอี้ยน แป้งพิซซ่า 1 แผ่น ซอสพิซซ่าสำเร็จรูป 25 กรัม ซูเปอร์ เชฟ แฮมหมู 20 กรัม สับปะรด 15 กรัม มะเขือเทศ 5 กรัม มอสซาเรลล่าชีส 20 กรัม ส่วนผสมพิซซ่าหน้ามีดฟีส (Meat Feast) แป้งพิซซ่า 1 แผ่น ซอสพิซซ่าสำเร็จรูป 25 กรัม ซูเปอร์ เชฟ ไส้กรอกไก่หนังกรอบ 15 กรัม ซูเปอร์ เชฟ แฮมสตริป 20 กรัม สามชั้นหมูสไลซ์ 10 กรัม มอสซาเรลล่าชีส 20 กรัม วิธีทำ นำแผ่นแป้งพิซซ่าทาด้วยซอสพิซซ่าสำเร็จรูปให้ทั่ว โรยด้วยท้อปปิ้งและส่วนผสมในแต่ละสูตร ปิดท้ายด้วยมอสซาเรลลาชีส นำเข้าอบไฟอุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส ประมาณ 8 นาที หรือจนกว่าชีสจะเป็นสีเหลืองสวยตามต้องการ จัดเสิร์ฟพร้อมกับซอสมะเขือเทศ หมูย่างซอสบาร์บีคิว เทศกาลปาร์ตี้ทั้งที จะขาดเมนูหมูย่างได้ไง! แนะนำเมนูหมูย่างซอสบาร์บีคิวจากเชฟพัน จับวัตถุดิบหมู ๆ มารังสรรค์เป็นเมนูสไตล์จีน ถ้าจะให้อร่อย ต้องใส่ใจตั้งแต่การหมักหมู ด้วยซอสปรุงรสฝาเขียว ตราเด็กสมบูรณ์ ให้มีรสสัมผัสนุ่มละมุนลิ้น หอม กลมกล่อมมากยิ่งขึ้นหมักเสร็จแล้วนำไปย่าง โดยระหว่างนี้ทาซอสบาร์บีคิวไปด้วย เพียงเท่านี้ ก็พร้อมเสิร์ฟความอร่อยง่ายๆ แถมใช้เวลาทำไม่นาน ส่วนผสมการหมักหมู เนื้อหมูสันนอก 300 กรัม ซอสแดงหวาน 1 ช้อนโต๊ะ กระเทียม 1 ช้อนโต๊ะ หอมแดง 1 ช้อนโต๊ะ รากผักชี 1 ช้อนโต๊ะ เต้าเจี้ยวบด 1 ช้อนชา น้ำมันหอยตราเด็กสมบูรณ์ 1 ช้อนโต๊ะ พริกไทย ½ ช้อนชา แป้งมัน 1 ช้อนชา ซอสปรุงรสฝาเขียว ตราเด็กสมบูรณ์ 1 ช้อนโต๊ะ ส่วนผสมซอสบาร์บีคิว ซอสแดงหวาน 1 ช้อนโต๊ะ เต้าเจี้ยวบด ½ ช้อนโต๊ะ น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ กระเทียม 1 ช้อนชา หอมแดง 1 ช้อนชา รากผักชี 1 ช้อนชา พริกไทย ½ ช้อนชา ซีอิ๊วขาวตราเด็กสมบูรณ์ 1 ช้อนโต๊ะ แป้งมัน 1 ช้อนชา วิธีทำ 1. ทำการหมักเนื้อหมูสันนอก ด้วยส่วนผสมการหมักหมูข้างต้น ปริมาณตามสูตร 2. ปรุงรสหมูหมักด้วยซอสปรุงรสฝาเขียวตราเด็กสมบูรณ์ เพิ่มความหอม อร่อยรสชาติกลมกล่อม และทำการหมัก 10 นาที 3. ทำซอสบาร์บีคิวด้วยการนำส่วนผสมซอสบาร์บีคิวมาผสมกัน 4. นำหมูมาย่าง โดยไม่ต้องให้หมูสุกมากจน Overcook เพราะจะทำให้หมูแข็งเกินไป เมื่อด้านไหนสุกแล้วให้ทาซอสบาร์บีคิว ทำทั้ง 2 ด้าน เป็นอันเสร็จพร้อมเสิร์ฟ ปาร์ตี้หมูหมู หมูนุ่ม แช่แข็ง หมักความอร่อยพร้อมเสิร์ฟ เพราะผ่านการตัดแต่งแล้ว หมูนุ่มใส่งาขาว แช่แข็ง หมูอร่อยนุ่มลิ้น เพิ่มเติมคือความหอมของงา ห้ามพลาด! หมูนุ่มใส่พริกไทยดำ แช่แข็ง รสชาติเผ็ดกำลังดี ทานได้เพลินๆ หมูนุ่มหมักพริกหม่าล่า แช่แข็ง ตอบโจทย์ลูกค้าสาวกหม่าล่า สามารถซื้อได้ที่ Makro หรือซื้อออนไลน์ได้เลย คลิก ส่วนผสม หมูนุ่ม แช่แข็ง หมูนุ่มใส่งาขาว แช่แข็ง หมูนุ่มใส่พริกไทยดำ แช่แข็ง หมูนุ่มหมักพริกหม่าล่า แช่แข็ง ส่วนผสมซอสสำหรับผัด ซอสหอยนางรม 15 กรัม ซอสปรุงรส 20 กรัม น้ำตาลทราย 30 กรัม เกลือ 3 กรัม น้ำส้มสายชู 15 กรัม เต้าหู้ยี้สับ 50 กรัม ซอสพริกศรีราชา 100 กรัม ซอสมะเขือเทศ 100 กรัม น้ำเปล่า 30 กรัม กระเทียมสับ 15 กรัม ส่วนผสมขั้นตอนย่างกระทะร้อน กระเทียมสับ 15 กรัม น้ำมันพืช 30 กรัม มอสเซเรล่าชีสขูด 120 กรัม ผักตามชอบ วิธีทำน้ำซอส นำส่วนผสมซอสสำหรับผัด ตามปริมาณส่วนผสมข้างต้น คนให้เข้ากัน มาถึงขั้นตอนย่างกระทะร้อน ด้วยการนำน้ำมันพืชเทลงบนกระทะ ตามด้วยกระเทียมสับ ผัดจนกระเทียมเริ่มมีสีน้ำตาลอ่อน ค่อยนำเนื้อหมูลงมาผัด ราดซอสที่ผสมเตรียมไว้ คลุกเคล้ากับหมูให้เข้ากัน และโรยผักตามใจชอบ ใส่มอสเซเรล่าชีสขูดปิดท้าย เมื่อชีสละลายก็ทานได้เลย! สามารถซื้อน้ำจิ้มสุกี้สูตรหม่าล่า น้ำจิ้มหมูกระทะ และน้ำจิ้มสุกี้สูตรกวางตุ้ง ทานคู่กับปาร์ตี้หมูหมูเพื่อเพิ่มรสชาติความอร่อยมากยิ่งขึ้น ขนมปังปิ้ง แชร์สูตรพร้อมวิธีการทำขนมปังปิ้งเสียบไม้ ถือทานในงานปาร์ตี้ได้ไม่เลอะเทอะ หรือจะทำขายตอนเช้าเป็นเมนูรองท้องก็ได้ หรือขายยามเย็นเป็นเมนูทานเล่นก็ดี ตอบโจทย์ลูกค้าวัยเด็ก วัยรุ่น และกลุ่มลูกค้าวัยทำงานได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว แถมทำง่าย เพียงราดทอปปิ้งบนขนมปังตามใจลูกค้าก็พร้อมเสิร์ฟได้ทันที สามารถซื้อวัตถุดิบและอุปกรณ์ได้ที่นี่ คลิก ส่วนผสม เอโร่ ขนมปังแซนวิช 1 แถว เอโร่ เนยกระเทียม 20 กรัม เอโร่ มาร์การีน 20 กรัม เอโร่ น้ำตาลทรายขาว 10 กรัม เอโร่ ครีมเทียมข้นหวาน 20 กรัม เอโร่ สตรอเบอรี่ทอปปิ้ง 30 กรัม เอโร่ ช็อคโกแลตทอปปิ้ง 20 กรัม เอโร่ บลูเบอร์รี่ทอปปิ้ง 30 กรัม เอโร่ ไก่หยอง 20 กรัม เอโร่ น้ำพริกเผาทาขนมปัง 30 กรัม วิธีทำ หั่นขนมปังแซนวิช 1 แถว ออกเป็น 8 ชิ้น โดยเริ่มจากการหั่นขอบขนมปังออกก่อนให้บางที่สุด เพื่อไม่ให้กินเนื้อขนมปังมากเกินไป และทำการตัดแบ่งขึ้น และหั่นแบ่งเป็น 4 ชิ้น ทำการเสียบไม้เข้าไปที่กลางขนมปัง นำมาปิ้งแต่ะด้านโดยใช้ไฟกลางให้พอร้อน และทามาร์การีทุกด้าน ปิ้งต่อไปให้ละลาย เกรียมนิด ๆ เพื่อให้ขนมปังกรอบนาน โรยน้ำตาลทรายลงบนขนมปังก่อน และทำการโรยทอปปิ้งตามต้องการ ใส่กล่องพร้อมเสิร์ฟได้เลย
Learn moreอบรมหลักสูตรการจัดการร้านอาหาร ทางรอดในยุค New Normal ฟรี! : แม็คโคร X กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์
อยากพัฒนาร้านแบบสมาร์ท ครบทุกศักยภาพ จากผู้เชี่ยวชาญฟรี! แม็คโคร X กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ จัดอบรมหลักสูตรการจัดการร้านอาหาร ทางรอดในยุค New Normal ลงทะเบียนเข้าร่วมงานฟรี คลิก หัวข้อในงานสัมมนา กลยุทธ์ความสำเร็จร้านอาหารด้วย Food Delivery • คุณณัฎฐินี ปลอดทอง : Business manager Food Service • คุณวินิจ ลิ้มเจริญ : CEO & Founder บริษัท วีเชฟ ประเทศไทย • คุณวัชรพงษ์ พจนีย์นนท์ :ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่าย Payment Solution and Development ธนาคารไทยพาณิชย์ การสร้างระบบเพื่อขยายธุรกิจเฟรนไชส์ • คุณเศรษฐพงศ์ ผดุงพิสุทธิ์ : กรรมการผู้จัดการบริษัท จีโนซิส จำกัดที่ปรึกษาธุรกิจร้านอาหารและแฟรนไชส์ การคำนวณต้นทุนอาหารและการควบคุมการสูญเสียของวัตถุดิบ • คุณพรชัย นิตย์เมธาวงศ์ : Brand Manager ร้าน King Kong Yakiniku และ Co-Founder เพจ เพื่อนแท้ร้านอาหาร การบัญชีและภาษี สำหรับธุรกิจร้านอาหาร • คุณธนัย นพคุณ : Course Director of Flow Account Digital Marketing Online ด้วย Facebook • คุณธัญญ์นิธิ อภิชัยโชติรัตน์ : CEO บริษัท สมอลเวิลด์ ฟอร์คิดส์ จำกัด Digital Marketing Online ด้วย Line • คุณกิติชัย ปรีน้อย : กรรมการผู้จัดการบริษัท โปร สเต็ปส์ 2020 จำกัด การถ่ายภาพอาหารด้วยมือถือ • คุณกษิดิส ฌาน : เจ้าของเพจ สอนถ่ายภาพอาหารด้วยมือถือ กษิดิสสตูดิโอ การออกแบบห้องครัว และการจัดการวัตถุดิบ • เชฟวิลเมนต์ ลีออง : Founder & Chairman Thailand Culinary Academy คุณสมบัติผู้เข้าอบรม 1. เป็นธุรกิจร้านอาหารเท่านั้น 2. สามารถเข้าร่วมอบรมได้ตลอดหลักสูตร 6 วัน 3. ต้องนำคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คส่วนตัว และสัญญาณ wifi-hotspot มาในวันอบรมหลักสูตร Online Marketing หมายเหตุ :วันที่ 15 มีนาคม 64 ห้องบุรฉัตรไชยากร ชั้น 4 สำนักงานปลัดกระทรวง เปิดรับสมัครทั้ง 2 รุ่นตั้งแต่วันนี้! จนกว่าจะเต็ม รุ่นที่ 1 : วันที่ 15, 16, 22, 23, 29, 30 มี.ค. 64 รุ่นที่ 2 : วันที่ 21, 22, 28, 29 เม.ย. และ 5,6 พ.ค. 64 สถานที่ ศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาธุรกิจการค้า ชั้น 6 กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ลงทะเบียนเข้าร่วมงาน คลิก ทางทีมงานจะทำการตรวจสอบข้อมูลคัดเลือกผู้ที่ผ่านเกณฑ์ และจะแจ้งผลให้ท่านทราบ รุ่นที่ 1 แจ้งผลวันที่ 10 มีนาคม 2564 รุ่นที่ 2แจ้งผลวันที่ 9 เมษายน 2564 #MakroHoReCaAcademy #คู่คิดธุรกิจอาหาร #รู้ไว้ไม่มีเจ๊ง #Makro #ธุรกิจร้านอาหาร #MHA #กรมพัฒนาธุรกิจการค้า #กระทรวงพาณิชย์ #DBD #MOC #หลักสูตรการจัดการร้านอาหาร
Learn more"ซดเตี๋ยวเป็ดพะโล้" ก๋วยเตี๋ยวเป็ดริมทาง พลิกชีวิตสู่แชมป์ Street Food ระดับประเทศ!
ก๋วยเตี๋ยว เป็นเมนูง่ายๆ ซึ่งมีทั้งความหลากหลาย และได้รับความนิยมตลอดกาล ทั้งยังมีขายอยู่ทั่วไป แต่การจะขายก๋วยเตี๋ยวอย่าง ‘มืออาชีพ’ นั้นต้องมีวิธีคิดอย่างไร จึงจะทำให้กิจการนั้น ‘เป็นระบบ’ มีมาตรฐานและเติบโตขึ้นได้วันนี้เราจะพาไปส่องวิธีคิด ของร้านก๋วยเตี๋ยวระดับแชมป์ และเปิดทุกซอกมุมบน Food Truck ของ ‘ซดเตี๋ยวเป็ดพะโล้’ ผู้ชนะเลิศจากการแข่งขัน ‘GSB Street Food เปลี่ยนชีวิต’ (กล้าคิด ชีวิตเปลี่ยน)ซึ่งจัดโดยธนาคารออมสิน และเพิ่งนำประสบการณ์ที่ได้มาอัพเกรดสร้างสรรค์ Food Truck คันใหม่ให้มีฟังก์ชั่นสุดล้ำ ตอบโจทย์การทำงาน ยังความก้าวหน้าให้กับกิจการได้อย่างน่าทึ่ง อัพเลเวล Street Food กิจการครอบครัว กว่า 40 ปี เปิดทุกซอกมุม Food Truck ระดับแชมป์ คิดให้นิ่งก่อนว่าจะขายอะไร แล้วออกแบบแปลนที่เหมาะสม มาตรฐานระดับ ‘มืออาชีพ’ ออกแบบการทำงานให้เป็น Flow เดียว ออกแบบระบบมาดีจนปัง ยังไม่ทันเปิดขายแฟรนไชส์ก็มีคนติดต่อเข้ามาเยอะมาก คุณสุรเดช สมเสงี่ยม เจ้าของร้านซดเตี๋ยวเป็ดพะโล้ ผู้ยกระดับให้แบรนด์ก๋วยเตี๋ยวแห่งเมืองย่าโมนี้มีชื่อเสียง เล่าถึงเรื่องราวแห่งความสำเร็จของซดเตี๋ยวเป็ดพะโล้ ให้เราได้ฟัง ดังนี้ อัพเลเวล Street Food กิจการครอบครัว กว่า 40 ปีตระกูลของคุณสุรเดชเริ่มทำธุรกิจขายก๋วยเตี๋ยวมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ โดยตัวเขาเองนั้นเป็นรุ่นที่ 3 ซึ่งสืบสานตำนานมาตั้งแต่สมัยที่ยังไม่มีชื่อร้านด้วยซ้ำ เมื่อชายหนุ่มมารับช่วงต่อจึงตั้งชื่อร้านว่า ‘ซดเตี๋ยว’ เพราะเป็นชื่อที่เรียกง่ายและติดหู “แต่ก่อนกิจการของเราก็ไม่ต่างจากสตรีทฟู้ดทั่วไป ที่ขายกันตามท้องถนน เรื่องของระบบการจัดการก็ไม่ได้มีอะไรเลย ผมก็อาศัยทำตามที่คุณพ่อคุณแม่สอนมาแค่นั้น จนเมื่อได้มีโอกาสไปแข่งขันรายการ GSB Street Food และพบกับพี่ธามม์ ประวัติตรี (นักธุรกิจ และวิทยากรผู้มีความเชี่ยวชาญด้านการบริหารและจัดการธุรกิจอาหาร) ซึ่งสอนให้ผมมีวิธีคิด และระบบการจัดการร้านได้ดีกว่าเดิมมากครับ มันทำให้ผมเห็นถึงความสำคัญของระบบและมาตรฐานที่ดี ซึ่งจะช่วยให้กิจการเราก้าวหน้าขึ้นได้ครับ” เปิดทุกซอกมุม Food Truck ระดับแชมป์ความจริงแล้ว ก่อนที่จะมี Food Truck ขายก๋วยเตี๋ยวคันล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวไปได้ไม่นานคันนี้ ซดเตี๋ยวฯ เคยมี ทรัคคันก่อนหน้า “คือตอนแรกที่ผมตัดสินใจจะทำก๋วยเตี๋ยวเป็ดตุ๋น เราสังเกตเห็นถึงความนิยมของฟู้ดทรัคและข้อดีของการที่จะนำไปจอดที่ไหนก็ได้ จึงได้ทำทรัคคันแรกออกมาก่อน แต่ตอนนั้นต้องบอกว่ายังไม่มีความรู้สักเท่าไหร่ สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างรถคันแรกกับคันล่าสุดนี้จึงมีอยู่เยอะ อย่างที่สำคัญก็คือเรื่องมาตรฐานความสะอาดของกระทรวงสาธารณสุขซึ่งต้องมีในร้านอาหาร อย่างซิงค์ล้างมือ ซึ่งรถคันเก่าผมไม่มี แต่คันที่ทำใหม่นี้มี ซึ่งทีแรกที่ทำก็ออกแบบตามความถนัดตามความเข้าใจของเราในขณะนั้น จึงยังไม่ค่อยได้มาตรฐานสักเท่าไหร่” คิดให้นิ่งก่อนว่าจะขายอะไร แล้วออกแบบแปลนที่เหมาะสม เช่นเดียวกับผู้ประกอบการที่ต้องค่อยๆ สั่งสมประสบการณ์ลองผิดลองถูกจนตกผลึก หลังจากแข่งขันรายการ GSB Street Food และได้ที่ปรึกษามือดีอย่างคุณธามม์ คุณสุรเดชจึงนำวิธีคิดที่ได้เรียนรู้มาปรับปรุงการดำเนินงานต่างๆ รวมถึงการทำฟู้ดทรัคคันใหม่ โดยเริ่มตั้งแต่การออกแบบเขียนผังก่อนที่จะผลิตรถขึ้นจริง “มันต้องเริ่มจากการคิดให้จบก่อนว่าเราจะขายอาหารอะไรบ้างอย่างคันเก่าเนี่ยเราจะขายแต่ก๋วยเตี๋ยว แต่พอวันหนึ่งอยากขายอย่างอื่นเพิ่มขึ้นมา ก็ไม่สามารถนำไปวางบนรถได้ เพราะไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อการนั้น คราวนี้ตัวรถคันใหม่นี่ผมลิสต์ออกมาหมดเลยว่า จะขายทั้งก๋วยเตี๋ยวเป็ด ก๋วยเตี๋ยวไก่ ก๋วยเตี๋ยวเนื้อ ก๋วยเตี๋ยวซี่โครง กะเพราเนื้อ กะเพราไก่ กะเพราซี่โครง กะเพราเป็ดตุ๋น พอได้ลิสต์อาหารทั้งหมดออกมาแล้ว ก็ออกแบบแผนผังว่าอะไรจะอยู่ตรงไหน หม้อลวกก๋วยเตี๋ยวอยู่ตรงไหน ฝั่งไหนที่ใช้วางน้ำสต็อก จะต้องมีช่องใส่วัตถุดิบอะไรกี่ช่อง ด้านหน้าจะต้องมีอะไรบ้าง ด้านหลังจะต้องมีอะไรบ้าง เตาผัดกะเพราควรอยู่ตรงไหน แล้วข้างบนก็ต้องมีที่ดูดควัน โดยต้องคำนวนวัดสเกลทุกอย่างให้ตรงกัน ฯลฯ เพื่อให้สะดวกในการทำงานและใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด”“ผมคิดอย่างละเอียดจนถึงขั้นลองจินตนาการ และจำลองเหตุการณ์เพื่อให้เรารู้ Traffic การทำงานว่ามันเหมาะหรือพลาดอะไรตรงไหนไปบ้างเมื่อได้แปลนมาก็รบกวนปรึกษาพี่ธามม์ให้ช่วยคอมเมนต์แล้วนำมาปรับแก้อีกที แล้วจึงค่อยสั่งผลิตตามแปลนครับ” ทรัคก๋วยเตี๋ยวสีแดงเตะตาคันใหม่ล่าสุดของซดเตี๋ยวฯ เรียกได้ว่าผ่านการคิดมาเป็นอย่างดี สามารถอำนวยความสะดวกในการทำงาน ช่วยยกระดับทั้งมาตรฐาน และประสิทธิภาพในการทำงานขึ้นได้อย่างมากมาย“ด้วยหม้อลวกก๋วยเตี๋ยว 6 หลุม ที่ควบคุมอุณหภูมิและจำกัดเวลา ภายใน 1 นาที เราสามารถลวกก๋วยเตี๋ยวในครั้งเดียวได้ถึง 6 ชาม ส่วนสำหรับเมนูกะเพรา เราก็พยายามจัดการกับพื้นที่ซึ่งจะมีการวางเครื่องปรุงแค่ พริกแห้ง ซอสกะเพรา และใบกะเพราเพียงแค่ 3 อย่างเท่านั้น ถามว่าทำไมจึงไม่มีเครื่องปรุงอย่าง กระเทียม ซีอิ๊วดำ น้ำมันหอย น้ำตาล ฯลฯ ตั้งอยู่เยอะๆ ก็เพราะพื้นที่รถที่มีอยู่อย่างจำกัด ผมจึงต้องทำทุกอย่างออกมาเป็นซอสเราก็แค่ผัดปรุงกับซอสที่คิดค้นสูตรมาเป็นอย่างดีแล้วใส่พริกกับใบกะเพราก็เรียบร้อย มันเป็นวิธีคิดแก้ปัญหาให้เราจัดการกับข้อจำกัดของพื้นที่บนรถ ทั้งยังสามารถส่งมอบอาหารรสชาติดีให้กับลูกค้าได้อีกด้วยครับ” มาตรฐานระดับ ‘มืออาชีพ’ ออกแบบการทำงานให้เป็น Flow เดียวนอกจากแปลนครัวที่คิดมาอย่างดีให้เอื้อต่ออาหารที่จะขาย และประสิทธิภาพในการทำงานแล้ว คุณสุรเดชยังบอกว่า ทรัคขายก๋วยเตี๋ยวของซดเตี๋ยวฯ ยังออกแบบมาโดยคำนึงนึงความปลอดภัยของคนทำงาน เพราะบนรถมีทั้งหม้อต้มน้ำ เตา และกระทะร้อนๆ หากมีการขยับไปมาบ่อยๆ ก็อาจจะเกิดอุบัติเหตุได้ ดังนั้น การออกแบบอย่างได้มาตรฐานจึงช่วยลดขั้นตอนการทำงานให้สั้นลง และยังช่วยในเรื่องความปลอดภัยของคนทำงานได้ด้วย มากไปกว่านั้น รถคันนี้ยังถูกคิด Flow การทำงานให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันให้มากที่สุด ตั้งแต่ลูกค้าเข้ามาสั่งอาหารก็มีระบบ POS ที่เมื่อคีย์ออร์เดอร์แล้ว บิลล์ก็จะถูกรันไปในครัว ให้พนักงานครัวสามารถทำอาหารตามรายการที่สั่งต่อได้ทันที ซึ่งเมนูทุกอย่างจะต้องผ่านการชั่งตวงวัดเพื่อให้อาหารทุกจานได้มาตรฐานเดียวกัน เมื่อทำอาหารเสร็จแล้ว พนักงานที่รับออร์เดอร์ก็จะเป็นคนตรวจทานอีกทีว่าลูกค้าได้อาหารตามรายการที่สั่งครบถ้วน เรียกได้ว่าใช้คน Operate เพียงแค่ 2 คนก็เพียงพอ เมื่อถามถึงความสำคัญของการทำระบบให้ได้มาตรฐาน เจ้าของกิจการร้านก๋วยเตี๋ยวมืออาชีพระดับแชมป์ตอบว่า “จากที่สมัยก่อนผมไม่เคยรู้เลยว่าต้องใช้น้ำอุณหภูมิเท่าไรถึงจะลวกก๋วยเตี๋ยวได้ ผมรู้แค่ว่าน้ำเดือดก็ลวกก๋วยเตี๋ยวได้แล้ว น้ำหม้อก๋วยเตี๋ยวกี่ลิตรผมก็ไม่เคยรู้ ผมรู้แค่ว่าน้ำในหม้อหมดก็คือเติม แต่หลังจากที่เข้าแข่งขัน GSB Street Food ทุกวันนี้วิสัยทัศน์ของผมเปลี่ยนไปมาก ผมต้องรู้แม้กระทั่งว่า น้ำก๋วยเตี๋ยว 1 หม้อนั้นสามารถตักทำก๋วยเตี๋ยวได้กี่ชาม ผมปรับเปลี่ยนมุมมองการทำงานใหม่ ผมได้พัฒนาตัวเองใหม่ ตั้งเป้าหมายว่าจะก้าวไปสู่การเป็นแบรนด์ซดเตี๋ยวฯ ผมอยากก้าวไปสู่การเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวข้างถนนที่ได้มาตรฐาน” “ลองนึกดูนะครับว่า ถ้าไม่มีการชั่ง ตวง วัด แล้วมีบางชามที่อาจจะได้มากได้น้อยไม่เท่ากันเราจะเช็กสต็อกของและต้นทุนที่ควรจะเป็นได้อย่างไร บางทีถ้าคนรู้จักมาทานก็อาจจะให้เขาเยอะๆ ก็ไม่เป็นธรรมกับลูกค้าท่านอื่นๆ การที่เราสร้างมาตรฐานเช่นนี้ นอกจากรสชาติและปริมาณของอาหารทุกชามจะเป็นมาตรฐานเดียวกันซึ่งเป็นการให้ความเป็นธรรมกับลูกค้าทุกท่านแล้ว ยังช่วยให้เราดูแลบริหารต้นทุนได้ อย่างโปร่งใสและมีประสิทธิภาพอีกด้วย” “นอกจากนี้ระบบยังช่วยลดความผิดพลาดในการทำงาน และยังช่วยในเรื่องของการเติบโตของกิจการ ซึ่งการที่เราทำฟู้ดทรัคให้มีระบบมาตรฐาน พอลูกค้าเขาเห็น ก็จะทำให้ลูกค้ารู้สึกถึงมาตรฐานความสะอาดและความปลอดภัย ซึ่งลูกค้าหลายๆ ท่านก็ยอมที่จะจ่ายเงินมากกว่าเพื่อความเหมาะสมของสิ่งที่ได้รับตรงนี้ ที่สำคัญอีกอย่างคือ ถ้าเราวางระบบและมาตรฐานเอาไว้หมดแล้ว มันก็ง่ายกับการที่ใครจะเข้ามาทำก็ได้ เพราะเรามีสิ่งที่ต้องการให้พนักงานดำเนินการตามเอาไว้หมดแล้ว ซึ่งแม้กระทั่งคนที่ทำอาหารไม่เป็นก็ยังสามารถที่จะ Follow ได้อย่างง่ายๆ ดังนั้นเวลาที่เราจะขยายกิจการ มันก็จะง่ายและได้มาตรฐานเดียวกันทั้งหมด ไม่ว่าคุณจะขยายเพิ่มอีกกี่สาขาก็ตาม” ออกแบบระบบมาดีจนปัง ยังไม่ทันเปิดขายแฟรนไชส์ก็มีคนติดต่อเข้ามาเยอะมาก “ตั้งแต่เปิดตัวรถคันนี้เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม ที่ผ่านมา ผลประกอบการของเราก็ดีขึ้นในระดับหนึ่ง แต่น่าเสียดายที่ผลกระทบจากโควิด-19 ระบาดรอบสองซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม ทำให้งาน Event ที่เคยเหมาจ้างทรัคของเราหายไป แต่ก็น่าดีใจที่มีคนสนใจที่ต้องการที่จะเปิดซดเตี๋ยวฯ Food Truck ติดต่อกันเข้ามามาเยอะมากเป็นร้อยเลยนะครับ แต่ตอนนี้ยังต้องบอกว่าเรายังอยู่ในช่วงของการรันเทสต์ระบบ ซึ่งหากพบข้อผิดพลาดอะไรก็จะปรับแก้ให้ดีเสียก่อน เพราะเราต้องการให้ระบบที่ออกไปนี้สมบูรณ์และมีปัญหาน้อยที่สุด สำหรับลูกค้าที่มาซื้อแฟรนไชส์ เราอยากจะให้มันตอบโจทย์ความสำเร็จของเจ้าของธุรกิจเพราะอะไรที่มันง่ายและชัดเจนก็จะสามารถตรวจสอบได้ตลอดอย่างระบบ POS (Point of sale system) ที่สามารถตรวจเช็ก ตรวจสอบ สรุปยอดให้ได้ตลอดเวลา เราก็ยังมีกล้องวงจรปิดอยู่บนรถอีกถึง 2 ตัว นั่นแสดงว่าคุณสามารถตรวจสอบการทำงานของพนักงานบนรถได้อย่าง Real Time ได้เลย ดังนั้นไม่ว่าคุณจะอยู่ไหนบนโลกใบนี้ ขอแค่มีอินเทอร์เน็ตคุณก็สามารถตรวจสอบดูแลกิจการของตัวเองได้” ที่กล่าวมาทั้งหมดคือทุกซอกทุกมุมและข้อดีของ Food Truck ระดับแชมป์ อย่าง ‘ซดเตี๋ยวเป็ดพะโล้’ ซึ่งหากใครที่สนใจแฟรนไชส์ฟู้ดทรัคของซดเตี๋ยวนั้น คุณสุรเดชบอกว่าน่าจะใช้เงินทุนอยู่ที่ราวๆ 600,000 - 700,000 บาทโดยประมาณ ซึ่งในงบประมาณจำนวนนี้จะได้รับทั้ง รถ ทะเบียนรถ สูตรอาหาร และระบบการจัดการทั้งหมดไป และแม้ว่าจะมีผู้สนใจติดต่อกันแข้ามาซื้อแฟรนไชส์เยอะมาก แต่ทางซดเตี๋ยวก็ยังอยากใช้เวลาเทสต์รันปรับปรุงระบบก่อนที่จะขายแฟรนไชส์จริงในช่วงกลางปีนี้ ซึ่งเมื่อเวลานั้นมาถึงรายได้จากการขายแฟรนไชน์ ก็จะทำให้กลายเป็นแบรนด์ก๋วยเตี๋ยวเงินล้านแน่นอน หากใครที่สนใจซื้อแฟรนไชส์ก็สามารถติดต่อทางซดเตี๋ยวฯ เข้าไปได้ นับเป็นตัวอย่างที่ดีของฟู้ดทรัคที่ได้มาตรฐานระดับมืออาชีพและเป็นความก้าวหน้าของกิจการ Street Food ที่ยกระดับขึ้นมาได้อย่างน่าชื่นชมมากจริงๆ
Learn moreร้านเล็กก็สำเร็จได้! สรุป 7 บทเรียนจาก Street Food แบรนด์ใหญ่ ที่ร้านเล็กนำไปปรับใช้ได้จริง
สำหรับผู้ประกอบการร้านอาหารหลายๆ ท่าน โดยเฉพาะกับร้าน Street Food หรือร้านเล็กๆ เมื่อดำเนินธุรกิจมาจนถึงจุดหนึ่ง ก็ต้องการจะก้าวต่อไปข้างหน้าขยายกิจการนั้น อาจมีคำถามว่าควรจะต้องทำอย่างไรดี คำตอบที่สำคัญคือ การพัฒนา ‘ระบบ’ และ ‘มาตรฐาน’ ย่อมเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำพาธุรกิจของเราไปสู่ความสำเร็จ ว่าแต่ทั้ง ‘ระบบ’ และ ‘มาตรฐาน’ มีความสำคัญอย่างไร และจะสร้างทั้งสองสิ่งนี้ขึ้นมาได้อย่างไร วันนี้ MHA อาสาพาทุกคนไปพูดคุยกับ ‘คุณธามม์ - ประวัติตรี’ กูรูนักธุรกิจผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการธุรกิจร้านอาหาร ผู้เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ยาวนานกว่า 25 ปี ปัจจุบันคุณธามม์ยังเป็นทั้งวิทยากร และเจ้าของแบรนด์สตรีทฟู้ดมาตรฐานสากลอย่าง Plara Der (ปลาร้าเด้อ) ที่ใครหลายๆ คนติดใจในรสชาติ รวมถึงแบรนด์ ‘Pad Thai’ ซึ่งกำลังเติบโตขยายสาขานับ 10 แห่ง ณ ประเทศเนเธอร์แลนด์ ‘คุณธามม์ - ประวัติตรี’ กูรูนักธุรกิจ และวิทยากร ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการธุรกิจร้านอาหาร เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ยาวนานกว่า 25 ปี 1.‘ความเป็นเลิศด้านระบบปฏิบัติการ’ หัวใจหลักที่ทำให้ Chain Restaurant ประสบความสำเร็จ ก่อนจะมาเปิดแบรนด์ร้านอาหารของตัวเองนั้น คุณธามม์เคยทำงานภายใต้เครือร้านอาหารระดับโลกอย่าง The Minor Food Group และ Blue Elephant เขาเคยมีส่วนร่วมดูแลแบรนด์ดังๆ อย่าง KFC, YUM, Thai Express, Pizza Hut, The Pizza Company, Burger King, Sizzler และอื่นๆ อีกมากมาย การได้ร่วมงานกับบริษัทยักษ์ใหญ่ และแบรนด์ชั้นนำเหล่านี้ ทำให้คุณธามม์มีโอกาสได้เห็นว่ าสิ่งที่ธุรกิจร้านอาหารซึ่งเป็น Chain Restaurant ที่ประสบความสำเร็จระดับโลกเหล่านี้ล้วนมีเหมือนกันก็คือ‘ระบบปฏิบัติการอันเป็นเลิศ’ หรือ ‘Operation Excellent ’ “สิ่งที่ทำให้ธุรกิจอาหารแบรนด์ใหญ่เหล่านี้ประสบความสำเร็จจนเปิดสาขาได้เป็นพันๆ สาขาได้นั้น มี องค์ประกอบที่สำคัญคือ ‘ระบบ’ กับ ‘มาตรฐาน’ และ ‘ระบบปฏิบัติการอันเป็นเลิศ’ ซึ่งนี่แหล่ะครับ คือ DNA ที่จะทำให้การทำธุรกิจอาหารประสบได้ความสำเร็จอย่างยั่งยืน” เพื่อพิสูจน์ถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้มาระหว่างทำงานให้กับแบรนด์ใหญ่ๆ มาตลอดระยะเวลาหลายสิบปี ก่อนที่คุณธามม์จะตัดสินใจจะออกจาก The Minor Food Group เขาจึงได้ทดลองเปิดแบรนด์ ‘ปลาร้าเด้อ’ ขึ้นมา“ผมเริ่มตั้งแต่การพัฒนาสูตร Recipe ทำ Costing และทำ SOP (Standard Operating Procedure = มาตรฐานการปฏิบัติงาน) แล้วก็มี Training Roadmap สอนให้พนักงานทำส้มตำ น้ำปลาร้า ไส้กรอก หมักคอหมูย่าง หมักไก่ ทำแกงหน่อไม้ ฯลฯ พอทำไปได้สักพักประมาณ 2 เดือน ผมก็ย้ายไปอยู่ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ เพื่อทำแบรนด์ ‘Pad Thai’ ผลปรากฎว่าธุรกิจของเราทั้ง 2 อย่างสามารถรันได้เป็นอย่างดี เป็นการพิสูจน์ว่า จริง ๆ แล้วถ้าเรามีระบบที่ดี ก็สามารถทำได้เหมือนกับแบรนด์ใหญ่ๆ ที่ประสบความสำเร็จ” ‘มาตรฐาน’ และ ‘ระบบ’มีประโยชน์อย่างไร? คุณธามม์อธิบายให้ฟังว่า ปัญหาของการทำร้านอาหารส่วนใหญ่ คือ เรื่องคุณภาพ เพราะว่าคนเรานั้นมีความขึ้นลงตามอารมณ์ ถ้าอารมณ์ดีก็ทำได้ดี แต่เมื่อไหร่ที่อารมณ์แปรปรวนไปก็จะได้ผลลัพธ์อีกแบบ ซึ่งทำให้อาหารและการบริการได้รับผลกระทบ “อย่างแรกเลย คือ มาตรฐานจะช่วยทำให้รสชาติและคุณภาพของอาหารเสมอต้นเสมอปลาย ลูกค้ามากินเมื่อไหร่ก็เหมือนเดิม ทั้งในแง่ของคุณภาพ รสชาติ ปริมาณ และบริการ เช่น เสิร์ฟไก่กี่ชิ้น จัดวางแบบไหน ถ้าจะเอียงซ้ายก็เอียงซ้ายตลอด คือลูกค้าได้อาหารตรงปก ไม่ใช่ว่าในรูปเป็นอีกแบบหนึ่งแล้วของจริงกลับเป็นอีกแบบ และก็ที่สำคัญอีกอย่างก็คือ ใครก็สามารถทำได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นเชฟมืออาชีพเลยด้วยซ้ำ เพราะเรามีทั้ง Recipe มี SOP และ Training Roadmap เอาไว้หมดแล้ว นอกจากนี้ยังทำให้เราขยายกิจการเปิดสาขาได้เร็วอีกด้วย แต่ถ้าเราไม่มีระบบเหล่านี้มาคอยควบคุมมาตรฐาน การขยายกิจการก็จะทำได้ลำบาก นี่คือสิ่งสำคัญที่ผมได้เรียนรู้จากการทำงานกับแบรนด์ใหญ่ๆ และนำมาปรับใช้” 3.หา Hero Product ของคุณให้เจอ บางร้านอาจจะคิดว่า การมีเมนูหลายๆ อย่างเพื่อเป็นตัวเลือกให้กับลูกค้าเป็นเรื่องที่ดี แต่คุณธามม์ กลับบอกว่าการมี Single Product ซึ่งเป็น Hero Product หรือเป็นจุดขาย จะช่วยให้จัดการได้ง่าย และขายง่าย Hero Product จึงเป็นสิ่งสำคัญที่หากจะเป็น Chain Restaurant ซึ่งต้องการขยายธุรกิจควรหาให้เจอ“ยกตัวอย่าง Hero Product ของ KFC ก็คือไก่ทอด ส่วน McDonald ก็เป็นเบอร์เกอร์ ผมนำวิธีคิดแบบนี้มาปรับใช้กับร้าน Pad Thai ซึ่งเปิดอยู่ที่เนเธอร์แลนด์ เราเน้นขายผัดไทยเป็นหลัก แต่ก็มีเมนูรองอื่นๆ ด้วย อย่าง แกงเขียวหวาน แกงมัสมั่น และอาหารทานเล่นอื่นๆ แต่สินค้าที่เป็น Hero Product ก็ยังคงเป็นผัดไทยสูตรต้นตำรับ ซึ่งเราผัดกับกระทะแบนเพื่อให้ง่ายต่อการจัดการ แต่ก็ยังได้รสชาติดั้งเดิมในแบบของไทยอยู่ คือผัดไทยนั้นเป็นอาหารที่คนไทยอาจคิดว่าธรรมดาข้างถนน และพอมาถึงเมืองนอกนี่มันกลายเป็นอาหารไทยที่ใครๆ ก็รู้จัก ผมก็เลยเกิดความคิดที่ว่าผมอยากทำให้ Street Food ของไทยอย่างผัดไทย ก็สามารถเป็นฟาสต์ฟู้ดที่ได้รับความนิยม และมีมาตรฐานได้เหมือนกัน ซึ่งการเซ็ตระบบสร้างมาตรฐานของแบรนด์ผัดไทยขึ้นมา ก็ทำให้กิจการของผมในเนเธอร์แลนด์ประสบความสำเร็จขยายได้หลายสาขา” ระบบ 3 ส่วนที่สำคัญภายในร้านอาหาร เมื่อพูดถึง ‘ระบบที่สำคัญภายในร้านอาหาร’ กูรูผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการร้านอาหารยังบอกอีกว่า เราสามารถที่จะแบ่งออกได้เป็น 3 ส่วน ได้แก่ 1) ระบบภายในครัว 2) ระบบงานบริการ 3)ระบบงานบริหารจัดการ “ระบบคือสิ่งที่เราทดลอง ปรับเปลี่ยน ทำมานานจนเกิดเป็นความชำนาญ เชี่ยวชาญ และปฏิบัติกันจนได้ผลพิสูจน์แล้วว่าทำแบบนี้แหล่ะคือดีที่สุด ก็จะพัฒนาจนกลายมาเป็นระบบ ซึ่ง ‘ระบบภายในครัว’ ก็จะส่งผลต่อคุณภาพของอาหาร ทำให้อาหารมีคุณภาพเสมอต้นเสมอปลาย ลดการสูญเสีย มีรสชาติที่อร่อย ฯลฯ ส่วน ‘ระบบของการบริการ’ ก็เป็นรื่องของการสอนพนักงานว่า จะบริการลูกค้าแบบไหน มีรายละเอียดขั้นตอนอย่างไร เช่น เมื่อลูกค้ามาถึงต้องยิ้มทักทาย รับออร์เดอร์ ให้ลูกค้ารอ การเอาของใส่ให้ลูกค้ามีขั้นตอนต้องทำอย่างไร ฯลฯ ซึ่งเมื่อเรามีร้านหลายๆ ร้านสิ่งต่างๆ ที่ทำเหมือนกันเหล่านี้ก็จะเป็นระบบที่สร้าง Standard รวมไปถึง ‘ระบบงานแอดมินหรืองานบริหารจัดการภายในร้าน’ อย่าง การตลาด การเงิน บัญชี ฯลฯ อะไรพวกนี้ด้วย ซึ่งจะช่วยให้แต่ละสาขาดำเนินกิจการได้อย่างราบรื่น และช่วยให้เราดูแลกิจการได้ง่ายขึ้นด้วย” ถ้าอยากยกระดับทำให้ Street Food ดีขึ้น เริ่มต้นได้ด้วยการทำ ‘Food Hygiene’ ในแง่ของอาหารสตรีทฟู้ด หากต้องการที่จะยกระดับเพิ่มยอดขายอาหารข้างทางโดยประยุกต์ใช้แนวคิดของแบรนด์ใหญ่มาใช้นั้นจะทำได้อย่างไร และควรจะเริ่มต้นที่ตรงไหน -- กูรูร้านอาหารอย่างคุณธามม์ให้คำตอบว่า ‘ความสะอาด’ ถือเป็นตัวแปรที่สำคัญเป็นอันดับแรก “ไม่ว่าจะเป็นการอัพเกรด อัพสเกล หรือ อัพเซลล์ให้ขายดีขึ้น ผมคิดว่าเรื่องของ ‘Food Hygiene’ ทั้งความสะอาดของอาหาร และความสะอาดของมาตรฐานการทำงาน น่าจะเป็นตัวแปรที่มีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมาก ที่จะทำให้อาหารและภาพลักษณ์ของร้านดูดี รวมถึงช่วยให้ขายได้ในราคาดีขึ้น สมมติว่า ร้านน้ำเต้าฮวยป้าสมศรีที่ขายอยู่ข้างถนนอยากจะยกระดับทำให้ดีขึ้น ก็อาจจะเริ่มต้นที่ยูนิฟอร์มที่ดูสะอาด เก็บผมเผ้าให้เรียบร้อย คนขายผ่านการอบรมเรื่อง Food Hygiene มาให้รู้วิธีการสัมผัสอาหารว่าอันไหนที่เสี่ยง อันไหนที่ไม่ดี ควรทำ หรือไม่ควรทำ เมื่อเป็นอาหารข้างถนนที่ดูแล้วปลอดภัย แน่นอนว่าลูกค้าย่อมจะยอมเสียเงินมากขึ้นอีกนิด เพื่อจะซื้อสินค้าของเรา” 6.เมื่อสร้างระบบและมาตรฐานได้ ก็จะกลายเป็น ‘Branding’ คุณธามม์ยังชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของระบบ และมาตรฐาน ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ดำเนินการและขยายกิจการได้โดยง่ายขึ้นแล้ว ยังมีส่วนสำคัญในการสร้างการจดจำ หรือสร้าง ‘แบรนดิ้ง’ ขึ้นได้อีกด้วย“ไม่ว่าจะเป็นโลโก้ของร้าน ชุดพนักงาน การตกแต่งภายในร้าน ฯลฯ ไปจนถึงขั้นตอนและวิธีการให้บริการ เช่น ถ้าเราพูด สวัสดีและขอบคุณลูกค้าเหมือนกัน มีเมนูที่ใส่ถ้วยใส่จานชามเหมือนกัน ฯลฯ ถ้าทำทุกอย่างอยู่บ่อยๆ ซ้ำๆ เหมือนๆ กัน สิ่งต่างๆ ก็จะถูกกำหนดให้เป็นมาตรฐาน และจะรวมกันกลายเป็นแบรนด์ของเราซึ่งลูกค้าจดจำได้ นี่เป็นเหตุผลที่เวลาผมจะทำร้านอาหารอะไรออกมาสักร้าน ไม่ว่าจะเป็นปลาร้าเด้อ หรือร้าน Pad Thai ก็จะต้องคิดคอนเซ็ปต์และทำ Brand Book ออกมาก่อน เราจะใช้เวลาในขั้นตอนการคิดเรื่อง Branding และระบบออกมาก่อนให้มากๆ จนชัดเจน แล้วจึงค่อยลงมือทำเทรนนิ่งการทำงานเพื่อเซ็ตระบบต่างๆ ของร้านตามคอนเซ็ปต์ที่วางเอาไว้” 7.ขนาดไม่สำคัญ แต่สำคัญที่ความตั้งใจ สิ่งที่คุณธามม์อยากจะฝากถึงผู้ประกอบการ ซึ่งเป็น Street Food หรือร้านอาหารเล็กๆ ที่ต้องการจะยกระดับให้ได้มาตรฐาน คือเน้นย้ำว่าไม่ต้องไปมองว่าร้านของเราจะเล็กหรือใหญ่ “ขนาดไม่สำคัญ แต่สำคัญที่ความตั้งใจ ที่ต้องการจะทำให้มีระบบและมีมาตรฐาน เพราะระบบนี่แหล่ะคือหัวใจสำคัญที่จะทำให้เราสามารถพัฒนาธุรกิจของเราให้ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนได้ คนไทยเรามีฝีมือในการทำอาหาร ก็เลยเกิด Street Food สารพัดคอนเซ็ปต์ออกมามากมาย พอขายดิบขายดีไปได้สักพักหนึ่งก็แน่นอนว่าต้องมีการปรับปรุงคุณภาพมาตรฐานให้คงที่เสมอต้นเสมอปลาย เพราะว่าจุดอ่อนของ Street Food คือ ถ้าเจ้าของร้านทำเองแล้วเราหยุดขายนี่เราก็จะไม่มีรายได้ใช่ไหมครับ เนื่องจากไม่มีคนทำแทนดังนั้นไม่ว่าคุณจะเป็นรถเข็นขายอาหาร จะเป็น Food Truck หรือจะเป็นร้านข้าวแกงตึกแถว หรือเป็นร้านใหญ่ๆ ระบบก็ยังเป็นสิ่งสำคัญ หากเราไม่ให้ความสำคัญกับระบบ ก็จะทำให้เราเหนื่อยและไม่สนุกที่จะทำ เพราะในที่สุดเราก็จะต้องกลับมาคอยแก้ไขปัญหาเดิมๆ ซ้ำๆ” “จริงๆ แล้วการทำระบบมันไม่ได้ยากนะครับ แต่ก็ไม่ได้ง่าย มันต้องใช้ระยะเวลาในการทดสอบ ปรับเปลี่ยน แล้วก็ต้องมีวินัย ต้องนำมาใช้งานจริงๆ ถ้าไม่มีระบบทุกสิ่งทุกอย่างมันก็จบนะที่รุ่นเรา หรือที่รุ่นลูกหลานที่สืบทอด ระบบนั้นไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่มากนะครับ เป็นแค่ระบบเล็กๆ ก็ได้ ที่จะทำให้เรามั่นใจได้ว่าสิ่งที่เราทำอยู่นั้นได้มาตรฐานทุกครั้ง หรือถ้าเราไม่อยู่แล้วมีคนมาทำแทนก็ยังได้มาตรฐานอยู่ตลอด และก็ไม่ต้องกลัวนะครับว่าถ้าทำระบบไปแล้วจะมีคนมาลอกเลียนแบบ เพราะถึงเราไม่ได้เขียนอะไรเอาไว้ คนที่เขามาทำงานกับเราทุกวัน เขาก็จำได้อยู่ดี” “ผมอยากจะให้ทุกคนเห็นถึงความสำคัญของระบบ และการพัฒนาคน พัฒนาทีมงาน ซึ่งจะช่วยทำให้ธุรกิจเรานั้นเดินไปข้างหน้าได้อย่างต่อเนื่อง และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน”คลิกอ่านบทสัมภาษณ์ที่น่าสนใจ “ซดเตี๋ยวเป็ดพะโล้” ก๋วยเตี๋ยวเป็ดริมทาง พลิกชีวิตสู่แชมป์ Street Food ระดับประเทศ! พลิกตำรารับสถานการณ์ฉุกเฉินด้วยอาหาร Frozen ส่งทั่วไทยที่สร้างรายได้หลักแสน พลิกร้านอาหารกำไรน้อย ให้ได้กำไรเพิ่ม! กับเจ้หมึก เจ้าของร้าน ล้มยักษ์ เพชรบุรี ซอย 5 เริ่มต้นคำละ 11 บาท ปั้นธุรกิจซูชิแตะ 500 ล้านบาท หมัดเด็ดสร้างแบรนด์ Shinkanzen Sushi ของหนุ่มวัย 27 ปี บุญนำพา บริการจัดงานบุญถึงบ้าน แชร์ประสบการณ์ 7 ปี ร้านอาหารอยากทำจัดเลี้ยงต้องอ่าน!
Learn moreประหยัดต้นทุนและเวลา ช้อปแบบไร้รอยต่อ เพื่อแก้ปัญหาผู้ประกอบการ ด้วย MakroClick
ในการดำเนินกิจการร้านอาหารในแต่ละวันนั้น ทั้งผู้ประกอบการและบุคลากรของร้านอาหารล้วนมีหลายสิ่งหลายอย่างให้ต้องคิด คอยดูแล จัดการและลงมือทำ จริงอยู่ที่ทุกคนย่อมอยากจะพัฒนาคุณภาพอาหารและบริการของเราให้ดี รวมถึงคิดต่อยอดให้กิจการของเราประสบความสำเร็จ แต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว หลายคนกลับพบปัญหาอย่างเดียวกันว่า “เวลาที่มีแทบไม่พอเอาเสียเลย”ด้วยความที่เพื่อนคู่คิดของผู้ประกอบการอย่าง Makro นั้นต้องการจะคอยช่วยเหลือสนับสนุนผู้ประกอบการ จึงได้สังเกตเห็นถึง ‘Pain Point’ ที่สำคัญตรงจุดนี้ จึงได้ให้กำเนิด www.makroclick.com และ Makro Application ซึ่งเป็นช้อปปิ้งออนไลน์แพลตฟอร์ม ที่จะคอยช่วยเหลือลูกค้า มาถึงตรงนี้ผู้ประกอบการหลายๆ ท่านน่าจะอยากทราบกันแล้วว่าร้านของคุณจะสามารถได้ประโยชน์อะไรจากแพลตฟอร์มดังกล่าว สำหรับประเด็นนี้ ‘คุณจักรกฤษณ์ จตุปัญญาโชติกุล ผู้อำนวยการฝ่ายอีคอมเมิร์ซ บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) ผู้บริหาร Makro Click คือผู้ที่จะมาเล่าให้เราฟังถึงความเป็นมา และประโยชน์ที่ผู้ประกอบการจะได้รับจากแพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์สำหรับผู้ประกอบการร้านอาหารนี้ ต้นทุนเวลา ปัญหาสำคัญ ‘Pain Point ’ ของผู้ประกอบการ“Makro นั้นเกิดมาได้กว่า 30 ปีแล้ว แต่ Makro Click นั้นเป็นช่องทาง E-Commerce ที่เราเริ่มดำเนินการมาได้เพียง 5 ปีเท่านั้น แม็คโครคลิกเกิดจาก Pain Point ของลูกค้า ซึ่งผู้ประกอบการร้านอาหารส่วนใหญ่มักจะประสบปัญหาคล้ายๆ กัน นั่นก็คือ ปัญหาในเรื่องของการดูแลต้นทุน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของต้นทุนการทำอาหาร หรือต้นทุนเวลา คืออย่างหลายๆ ร้านเวลาจะซื้อของเข้าร้านสักที ก็อาจจะต้องตระเวนไปหลายๆ แห่ง ซึ่งทำให้เสียเวลาไปไม่น้อย และเวลานั้นถือเป็นสิ่งที่มีค่ามากสำหรับผู้ประกอบการ เพราะเราสามารถนำไปใช้จัดการสิ่งต่างๆ ที่สำคัญอื่นๆ ซึ่งร้านอาหารบางแห่งเขาอาจจะมีกันอยู่ไม่กี่คน กว่าจะขับรถไปซื้อของก็เสียทั้งเวลาและกำลังบุคลากร ต้นทุนเวลาที่เสียไปตรงนี้จึงถือว่าเป็น Pain Point ที่สำคัญของผู้ประกอบการแทบจะทั้งหมดเลยก็ว่าได้ครับ” “แม็คโครเราจึงต้องการที่จะทำหน้าที่ช่วยซัพพอร์ทให้ผู้ประกอบการสามารถที่จะลดต้นทุน และประหยัดเวลา โดยเพิ่มความสะดวก เพิ่มช่องทางที่เป็น ‘Omni Channel’ ให้มีหลากหลายช่องทางมากขึ้น ทั้งช่องทางการสื่อสารและบริการลูกค้าที่หลากหลายและเชื่อมโยงกันให้เป็นหนึ่งเดียว เพื่อที่จะตอบสนองความต้องการ และเป็นโซลูชั่นที่จะช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้กับลูกค้าของเรา ซึ่งเป็นผู้ประกอบการร้านอาหารได้ครับ” ช้อปง่าย ของครบ เพราะมีสินค้ามากถึงกว่า 17,000 รายการ ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำของการทำกิจการร้านอาหาร ทั้งยังจำแนกหมวดหมู่สินค้า และหมวดหมู่ธุรกิจให้หาง่าย ช้อปง่าย ของครบ พร้อมบริการดี ช้อปได้อย่างง่ายๆ เพราะมีหลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะช้อปที่สาขา โทรสั่ง หรือช้อปออนไลน์ผ่าน www.makroclick.com ก็ได้ เรียกได้ว่าสะดวกช่องทางไหนก็ใช้ช่องทางนั้น ของครบ เพราะมีสินค้ามากถึง 17,000 รายการ มีตั้งแต่วัตถุดิบอาหารสด ทั้งผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ต่างๆ ซึ่งสามารถสั่งชั่งน้ำหนักตามจริงให้ได้ปริมาณตามที่ลูกค้าต้องการ วัตถุดิบที่ตัดแต่งเตรียมไว้บางส่วนแล้ว พร้อมให้นำไปปรุงได้ทันทีเพื่อช่วยประหยัดแรงและเวลาของผู้ประกอบการ มีทั้งเครื่องปรุงและ Packaging ฯลฯ มีสินค้าตั้งแต่ต้นน้ำยันไปจนถึงปลายน้ำของการทำกิจการ เรียกได้ว่าครอบคลุมทุกความต้องการของผู้ประกอบการร้านอาหารได้อย่างดี บริการที่ดี เพราะมีทีมงานซึ่งทำหน้าที่เป็น Personal Shopper ทำหน้าที่คอยเลือกสินค้าแทนลูกค้า จึงมั่นใจได้ในเรื่องคุณภาพ ทั้งยังสามารถจัดเตรียมของและนำส่งให้ถึงที่ร้านได้ทั้งแบบสั่งล่วงหน้า หรือแบบให้ส่งด่วน (Express Delivery) ไปยังที่ร้านทันทีก็สามารถทำได้ นอกจากนี้ยังมีระบบการบริหารจัดการดูแลลูกค้าที่ดี มีฐานข้อมูลของผู้ประกอบการร้านอาหาร มีทั้งประวัติรายการสินค้าที่ทางร้านใช้อยู่เป็นประจำ จึงง่ายต่อทั้งการจัดเตรียมสินค้าและจัดส่งไปตามที่อยู่ของร้าน ตอบโจทย์ทั้งร้าน Dine In และร้านที่มุ่ง Delivery ด้วยถือกำเนิดมาเพื่อที่จะตอบโจทย์ของผู้ประกอบการโดยเฉพาะ เมื่อเทรนด์ Food Delivery กำลังมาแรง แน่นอนว่า Makro Click ย่อมมีสินค้าที่เกี่ยวกับเดลิเวอร์รี่จัดเตรียมไว้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นบรรจุภัณฑ์ต่างๆ อุปกรณ์ต่างที่ใช้ในการเตรียมทำเดลิเวอรี่ วัตถุดิบต่างๆ ที่ตัดแต่งเตรียมเอาไว้บางส่วนแล้วเพื่อให้ลูกค้าสามารถนำไปประกอบอาหารต่อได้ทันที ซึ่งสามารถช่วยประหยัดทั้งแรงงาน การจัดการในครัว แถมยังช่วยประหยัดเวลาได้มากอีกด้วย ไปจนถึงเครื่องปรุงสำเร็จรูปอย่าง พริก น้ำตาล พริกน้ำปลา น้ำส้มสายชู ฯลฯ แบบซองสำเร็จ ซึ่งคนกินที่เป็นลูกค้าย่อมอยากจะได้รับความสะดวกสบาย ได้เครื่องปรุงแบบเดียวกับการนั่งกินที่ร้าน จนกลายเป็นของที่ #มันต้องมี จะปล่อยให้ลูกค้าไปหาเอาเองก็ไม่ได้ เพราะอาจเป็นการสร้างประสบการณ์ที่ไม่ดีให้กับลูกค้าได้ ซึ่งลูกค้าบางคนอาจถึงขั้นหลีกเลี่ยงที่จะสั่งอาหารเดลิเวอรี่ร้านหากไม่จัดเตรียมของพวกนี้เอาไว้ให้ ถ้าจะบรรจุเครื่องปรุงเองก็สิ้นเปลืองเวลาและแรงงานที่เป็น Man Power บุคลากรภายในร้าน และอีกเหตุผลหนึ่งคือเพื่อควบคุมเรื่องมาตรฐานความสะอาด ซึ่งเครื่องปรุงบรรจุซองเช่นนี้ย่อมเชื่อมั่นได้ในมาตรฐานความสะอาดอยู่แล้ว ทาง Makro Click ก็มีเครื่องปรุงสำเร็จรูปเตรียมไว้ให้พร้อม และก็มีขายที่จำเป็นอยู่บนออนไลน์ทั้งหมด ช้อปง่าย ซื้อของเข้าร้านได้ใน 4 ขั้นตอน มอบความสะดวกด้วยประสบการณ์ช้อปอย่างไร้รอยต่อ การสามารถเลือกช้อปได้หลากหลายช่องทางของ Makro ไม่ว่าจะช้อปออฟไลน์ผ่านทางหน้าสโตว์ หรือช้อปออนไลน์ผ่านช่องทาง E-commerce ที่เว็บไซต์ www.makroclick.com หรือ Makro App การสั่งซื้อทางโทรศัพท์ ล้วนเป็นการสร้าง ‘Seamless Experience’ หรือเป็น ‘ประสบการณ์ช้อปอย่างไร้รอยต่อ’ ทั้งยังเป็นโซลูชั่นที่ช่วยแก้ปัญหาเรื่องความสะดวกและประหยัดเวลาให้กับผู้ประกอบการ สมมุติว่าวันนี้คุณอยากจะออกไปหาไอเดียอะไรใหม่ๆ ที่สโตร์ด้วย แต่ไม่อยากจะเสียเวลาไปเลือกหยิบของที่ต้องซื้อเป็นประจำอยู่แล้ว ก็สามารถที่จะกดออเดอร์แล้วไปรับที่สาขาได้เลย เมื่อไปถึงสาขาก็ไปเดินเล่นเพื่อหาไอเดียใหม่ๆ แล้วจึงค่อยไปรับสินค้าที่คลิกสั่งเอาไว้ ซึ่งมีทีม Personal Shopper ได้จัดเตรียมเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว “การมอบโซลูชั่นความสะดวกเช่นนี้ เกิดจากการที่แม็คโครนั้นเล็งเห็นถึง Pain Point ของผู้ประกอบการ เราไม่ได้อยากจะขายสินค้าให้กับลูกค้าแต่เพียงอย่างเดียว แต่เรายังเป็น Trusted Partner ที่เป็นเพื่อนคู่คิดให้กับธุรกิจของลูกค้า เพื่อให้ผู้ประกอบการร้านอาหารสามารถที่จะรันธุรกิจได้อย่างราบรื่นและมีผลประกอบการที่ดีขึ้น” คุณจักรกฤษณ์ สรุป บริการส่งของที่สะดวกและรวดเร็ว มีทั้งแบบสั่งล่วงหน้า และแบบ Express Delivery ให้ส่งด่วนก็ทำได้ สารพัดข้อดีเมื่อช้อปกับ www.makroclick.com Makroclick ศูนย์รวมสินค้าครบครันสำหรับผู้ประกอบการ รวบรวมสินค้าหลากหลายเพื่อตอบโจทย์ทุกธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าปลีก ร้านโชห่วย ร้านอาหาร โรงแรม ธุรกิจจัดเลี้ยง บริษัท ห้างร้าน และธุรกิจบริการอื่นๆ พร้อมด้วยสินค้าไลฟ์สไตล์สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการประหยัดเวลาในการเลือกซื้อสินค้า และต้องการลดต้นทุนในการทำธุรกิจ สะดวก รวดเร็ว ครบ จบได้ในที่เดียว แม็คโครคลิก ช้อปได้หลากหลายช่องทาง สินค้ามีความหลากหลายด้วยรูปแบบการจัดหมวดหมู่สินค้าที่เหมาะสมตามประเภทของธุรกิจ ตอบโจทย์ผู้ประกอบการ พร้อมบริการทั้งส่งถึงร้าน, ส่งด่วน, สั่งแล้วมารับที่ Makro ได้ ทำให้ผู้ประกอบการสามารถเลือกซื้อสินค้าที่ต้องการได้อย่างสะดวก และรวดเร็ว เป็นคู่คิดธุรกิจคุณได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซื้อออนไลน์ กับ www.makroclick.com และ Makro App มั่นใจได้ทั้งคุณภาพของสินค้า บริการ และความปลอดภัย เช่นเดียวกับการซื้อสินค้าผ่านสาขาของแม็คโคร กว่า 100 สาขา ทั่วประเทศ คลิกอ่านบทสัมภาษณ์น่าสนใจเพิ่มเติมได้ที่ ยุคนี้ “รูปสวยรวยรส” ไม่พอ ต้อง “Food Safety” ยกระดับ Delivery ดีต่อสุขภาพ ก้าวสู่หลักวิถีสากล เผยกลยุทธ์ “ขายดี” บนแอปฟู้ด ฉบับ Robinhood พร้อมแนวคิดไม่เก็บ GP ตอบโจทย์ร้านคนตัวเล็ก วิธีสร้างแบรนด์สตรีทฟู้ดเดลิเวอรี่ของ ‘เขียง’ ขยายสำเร็จกว่า 80 สาขา ในระยะเวลา 2 ปี ร้านเล็กก็สำเร็จได้! สรุป 7 บทเรียนจาก Street Food แบรนด์ใหญ่ ที่ร้านเล็กนำไปปรับใช้ได้จริง “ซดเตี๋ยวเป็ดพะโล้” ก๋วยเตี๋ยวเป็ดริมทาง พลิกชีวิตสู่แชมป์ Street Food ระดับประเทศ
Learn moreกลยุทธ์สู่ความสำเร็จสไตล์ Food Delivery สรุปไฮไลท์น่ารู้ จาก 3 ผู้เชี่ยวชาญในงาน Smart Restaurant Plus
แม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี ร่วมกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ จัดอบรมหลักสูตร ‘Smart Restaurant Plus : หลักสูตรการจัดการร้านอาหาร ทางรอดในยุค New Normal’ เพื่อให้ผู้ประกอบการ SME สามารถพัฒนากิจการของตัวเองอย่างสมาร์ท เพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน บริหารร้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเติบโตอย่างยั่งยืนซึ่งภายในหลักสูตรนี้ได้มีการบรรยายในหัวข้อ ‘กลยุทธ์สู่ความสำเร็จร้านอาหาร ด้วย Food Delivery’ ซึ่งรวม speaker ดาวเด่นผู้เชี่ยวชาญเอาไว้ถึง 3 คน และเราได้กลั่นสรุปเอา Highlight ความรู้ที่เป็นประโยชน์มาฝากให้ทุกคนได้เรียนรู้กันดังนี้ 1.คุณวัชรพงษ์ พจนีย์นนท์, Head of Experience ของ Robinhoodจาก Pain Point ของผู้ประกอบการที่ต้องเสียค่า GP ให้กับแอปพลิเคชัน Food Delivery จากต่างชาติ ธนาคารไทยพาณิชย์เห็นจึงได้สร้าง ‘Robinhood’ ขึ้นเป็นแพลตฟอร์มเพื่อช่วยเหลือสังคมไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการร้านเล็ก พร้อมแชร์เทคนิคที่จะทำให้ลูกค้าซื้อซ้ำ อัพยอดขาย เทคนิคการตลาด รวมถึงทิศทางของเทรนด์ Food delivery จะจัดการกับต้นทุนอย่างไรในยุค New Normal? โดยปกติที่ผ่านมาคนไทยชอบทานอาหารหน้าร้าน เราเป็นประเทศที่อาหารเยอะ ไม่เคยชินกับการเดลิเวอรี่ พอโควิดระบาดร้านอาหารช็อก ทุกร้านเห็นว่าเดลิเวอรี่คือทางรอด แต่ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ปัญหาที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ต้องเจอคือไม่รู้ว่าจะสู้กับค่า GP ของแอปพลิเคชันต่างชาติอย่างไรไหว ไม่รู้ว่าจะจัดการกับต้นทุนอย่างไรในยุค New Normal Robinhood Food Delivery สัญชาติไทยที่เป็นทางเลือกสำหรับร้านเล็ก โดดเด่นด้วยการไม่เก็บค่า GP Robinhood แพลตฟอร์มทางเลือกสำหรับร้านเล็กเพื่อเป็นการช่วยเหลือสังคมและผู้ประกอบการไทยที่กำลังประสบกับปัญหา ผู้บริหารของธนาคารไทยพานิชย์มีแพลนที่จะสร้างแอปพลิเคชันส่งอาหารสัญชาติไทย แต่เนื่องจากธุรกิจนี้เป็น ‘Red Ocean’ ที่มีการแข่งขันสูง จึงทวิสต์ให้เป็น CSR Project ที่ทำเพื่อสังคมไปเลย โดยใช้ทุนทำโปรเจ็ค โรบินฮู้ดประมาณกว่า 300 ล้านบาท โดยมุ่งให้เป็นแพลตฟอร์มทางเลือกสำหรับร้านเล็ก ที่มีจุดเด่นคือไม่มีการเก็บค่า GP และเป็นแอปฯ Cashless ที่ไม่มีการใช้เงินสด รวมถึงมีการเคลียร์เงินให้ร้านค้าภายใน 24 ชั่วโมง เพื่อช่วยให้ร้านต่างๆ มีเงินหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ ปัจจุบันโรบินฮู้ดมีจำนวนผู้ใช้งานมากถึง 757,026 ยูสเซอร์ ภายในระยะเวลาที่เปิดใช้งานมาเพียงแค่ 4 เดือนเท่านั้น ในจำนวนนี้มีธุรกิจที่เป็น Home Kitchen สมัครเข้ามาประมาณ 3 พันกว่าร้าน เพราะเป็นยุคที่คนเราต้องหารายได้เพิ่มขึ้นหลายๆ ทาง ไม่ว่าจะเป็น พนักงานออฟฟิศ แม่บ้าน ฯลฯ ต่างก็ทำ Home Kitchen Delivery ด้วยกันทั้งนั้น หากลูกค้ามีประสบการณ์ที่ไม่ดีก็จะไม่สั่งอาหารจากเราอีก ควรให้ความสำคัญกับการใช้ Packaging ให้ถูกประเภท ใช้บรรจุภัณฑ์ที่ไม่ทำให้หกเลอะเทอะ หรือทำให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพกับผู้รับประทาน เพราะจะเป็นการสร้างประสบการณ์ที่ไม่ดีต่อร้านของคุณเองได้ นอกจากนี้อาหารยังต้องมีคุณภาพ ปลอดภัย หน้าตาน่ารับประทาน และรสชาติดี รูปภาพอาหารเป็นสิ่งสำคัญ แต่ก็ต้องตรงปกด้วย ในแอปพลิเคชันที่มีร้านอาหารหลายหมื่นร้าน เมื่อการแข่งขันเดลิเวอรี่นั้นสูงจัดมาก รูปอาหารจึงเป็นส่วนสำคัญที่จะดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามาดูและสั่งอาหารของเรา ร้านที่ไม่ให้ความสำคัญกับภาพอาหารจะสูญเสียโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย คุณต้องนำเสนออาหารและร้านของคุณให้น่ากินและน่าสนใจ แต่ที่สำคัญคือต้องตรงปกด้วย ไม่ใช่ว่าภาพและสิ่งที่ลูกค้าได้รับไม่ตรงปก เพราะเป็นเรื่องของความโปร่งใส และไว้เนื้อเชื่อใจกันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย การที่ลูกค้าได้รับอาหารไม่ตรงปกทำให้เกิดประสบการณ์ไม่ดี และไม่กลับมาใช้บริการอีก กรุ๊ปในโซเชียลมีเดียมีพลังสูง ปัจจุบันนี้มีกรุ๊ปในสื่อสังคมออนไลน์ที่เกี่ยวกับประเภทอาหารและร้านสไตล์ต่างๆ ออกมามากมาย เทคนิคที่หลายคนอาจคาดไม่ถึงคือการฝากร้านตามกรุ๊ปเหล่านี้ซึ่งได้ผลดีเป็นอย่างมาก และไม่ต้องเสียค่าโฆษณาใดๆ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เกิดกระแสฮิตที่คนนิยมสั่งแซลมอน จนเกิดเป็น ‘กลุ่มปลาส้ม’ และมีการส่งแซลมอนผ่านโรบินฮู้ดถึง 5 ตัน เคสนี้เป็นตัวอย่างที่ดีที่แสดงให้เห็นว่ากรุ๊ปในโซเชียลมีเดียมีพลังสูง หากลุ่มที่เหมาะกับร้านของคุณให้เจอ แล้วใช้ช่องทางนั้น ทำโปรโมชั่นก็สำคัญ แต่รักษาคุณภาพยิ่งสำคัญมากกว่า ในขณะที่การแข่งขันสูง เมื่อร้านอื่นๆ ขยันทำโปรโมชั่น ให้ส่วนลด แล้วร้านเราไม่ทำบ้างก็อาจจะลำบาก แต่ที่สำคัญที่สุดคือคุณภาพ เราทำโปรโมชั่นให้ลูกค้ารู้ว่าของเราดีก่อน แล้วรักษาคุณภาพให้ดี และลูกค้าจะอยู่กับเรา จะใช้ทริกจัดเซ็ต ลดราคาอะไรก็ว่าไป เข้าทำนองซื้อครั้งแรกอาจเพราะการตลาด แต่จะซื้อครั้งที่ 2 ต้องเพราะได้ใจในคุณภาพ หน้าร้านขายดีเลยไม่อยากทำเดลิเวอรี่...คุณกำลังสูญเสียโอกาส หลายๆ ร้านที่ขายหน้าร้านดีอยู่แล้ว มักไม่อยากจะทำเดลิเวอรี่ แต่ไม่ว่าคุณจะมีอยู่กี่สาขา ก็จะให้บริการได้กับผู้คนในละแวกนั้นเท่านั้น หากทุกวันนี้ออนไลน์ทำให้ทุกที่เชื่อมต่อกันมากขึ้น มีการสั่งอาหารเดลิเวอรี่กันข้ามพื้นที่ การเดลิเวอรี่จึงเป็นโอกาสทางการค้าที่จะช่วยส่งเสริมให้พนักงานได้ทำงานมากขึ้น เพื่อให้มีรายได้เข้ามาในร้าน ได้มีเงินหมุนเวียนเข้ามาดูแลพนักงาน ดังนั้นร้านที่ขายดีจึงไม่ควรที่จะมองข้ามโอกาสนี้ไปอย่างน่าเสียดาย 2.คุณวินิจ ลิ้มเจริญ CEO & Founder บริษัท วีเชฟ ประเทศไทย บอกเล่าจุดเริ่มต้นของ ‘We Chef’ สตาร์ทอัพที่ช่วยอำนวยความสะดวกหาจุดจอดขายอาหารให้กับฟู้ดทรัค ได้อย่างง่ายๆ เพียงแค่สัมผัสปลายนิ้วผ่านสมาร์ทโฟน ว่าด้วยเรื่องเสน่ห์และโอกาสของฟู้ดทรัคที่หาไม่ได้จากร้านทั่วไป We Chef Food Truck @ Oil Station จากแพลตฟอร์มของคนชอบทำอาหารสู่แอปพลิเคชันสำหรับผู้ประกอบการฟู้ดทรัค We Chef เปิดตัวเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว โดยจุดเริ่มต้นเดิมนั้นเป็นแพลตฟอร์มที่เปิดให้ผู้ที่ชื่นชอบการทำอาหาร หรือผู้ที่ต้องการมีรายได้เสริม ได้นำอาหารมาขายผ่านแพลตฟอร์มของ We Chef ภายหลังจึงได้นำ Pain Point ของผู้ประกอบการ Food Truck ที่ไม่รู้ว่าจะไปจอดรถที่ไหนมาช่วยแก้ปัญหาในการจัดหาที่จอดและรับจองโดยผ่านแอปพลิเคชัน การเติบโตของฟู้ดทรัคในระยะเวลาเพียง 1 ปี ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าระบุว่าปริมาณรถฟู้ดทรัคเพิ่มขึ้นจาก 2,500 คัน เป็น 2,800 คัน และมีมูลค่าแตะที่ 3 พันล้านบาทภายในระยะเวลาไม่ถึงปี หลังจากที่เกิดสถานการณ์วิกฤตโควิดซึ่งทำให้เดลิเวอรี่เติบโตขึ้นมาก แต่การให้บริการเดลิเวอรี่ก็ยังไม่ครอบคลุมและเหมาะกับอาหารทุกชนิด ซึ่งฟู้ดทรัคได้เข้ามาตอบโจทย์ในจุดนี้ เพราะสามารถวิ่งไปหากลุ่มเป้าหมาย เปลี่ยนสถานที่จอดขายได้หลายโลเคชั่น และพนักงานเดลิเวอรี่สามารถมารับอาหารได้ที่รถเช่นกันเพราะมีครัวอยู่ในรถด้วย เป็นการเพิ่ม Cloud Kitchen ของร้านไปในตัว หมดปัญหาไม่มีที่ขาย เพราะเตรียมหลากหลายจุดจอดไว้ให้แล้ว ช่วงเริ่มต้น We Chef ได้รับเลือกให้เป็นพาร์ทเนอร์ กับปั้มน้ำมัน PT ปรากฎว่าผลตอบรับเกินคาด เพราะผู้เข้ามาใช้บริการปั้มน้ำมันก็ได้เปิดประสบการณ์ใหม่ด้วย นอกจาก ‘We Chef Food Truck @ Oil Station’ ภายหลังจึงได้มีการเพิ่มช่องทางอื่นๆ อีกอย่าง ‘We Chef Food Truck @ Home’ คือ การนำรถไปจอดขายอาหารยังหมู่บ้านจัดสรรต่างๆ นำคาราวานอาหารไปยังหมู่บ้านจัดสรร ‘We Chef Food Truck @ Market’ เป็นตัวกลางบริหารจัดการให้ Food Truck ได้เข้าไปจอดขายตามตลาดต่างๆ และ ‘We Chef Food Truck on Event’ ช่วยจัดหาฟู้ดทรัคเพื่อให้บริการตามงานอีเวนต์ เรียกได้ว่าช่วยแก้ปัญหาไม่มีที่จอดให้กับผู้ประกอบการฟู้ดทรัคได้เป็นอย่างดี We Chef Food Truck on Event จุดเด่นอันเป็นเสน่ห์ของฟู้ดทรัคที่ร้านทั่วไปไม่อาจให้ได้ จุดเด่นอันเป็นเสน่ห์ของฟู้ดทรัค นอกจากจะไปจอดขายที่ไหนก็ได้แล้ว การดีไซน์ตัวรถก็เป็นส่วนสำคัญ เพราะนอกจากจะออกแบบอย่างไรให้ตอบโจทย์กับอาหารที่ขายในข้อจำกัดของพื้นที่ซึ่งต้องใช้ทุกตารางนิ้วให้คุ้มค่าแล้ว ยังต้องออกแบบให้โดดเด่น คนมองแล้วอยากเข้ามาใช้บริการ ทั้งนี้ยังต้องสามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา เหมาะกับสถานที่และงานอีเวนต์ที่ไป เพื่อให้สามารถปรับราคาให้เหมาะสมกับสถานที่และกลุ่มเป้าหมาย ทรัคที่ดีก็สำคัญ แต่ต้องสร้างสตอรี่ที่ดีด้วย คนที่ทำร้านอาหาร เรื่องความอร่อยเป็นรสนิยม คุณภาพเองก็สำคัญ แต่การจะขายดีนั้นต้องอาศัยปัจจัยหลายๆ อย่างดังกล่าวประกอบกัน นอกจากนี้ฟู้ดทรัคยังมีความหลากหลาย ตั้งแต่อาหารธรรมดาๆ ไปจนถึงฟู้ดทรัคที่ทำโดยเชฟของโรงแรม หรือโอมากาเสะฟู้ดทรัคที่ทำโดยอดีตนักบินเลยทีเดียว การสร้างเรื่องราว (Story) ที่มาของทรัคของเราให้น่าสนใจ เป็นปัจจัยหนึ่งที่สามารถช่วยเรียกลูกค้ามาได้ ไม่อย่างนั้นทรัคที่ดีก็จะกลายเป็นเพียงแค่ฟู้ดทรัคธรรมดาคันหนึ่งเท่านั้น 3.เชฟจ๊อบ ณัฎฐินี ปลอดทอง ผู้จัดการธุรกิจการบริหารด้านอาหาร (ไทย) บริษัท สยามแม็คโคร จากัด (มหาชน) บอกเล่าถึงจุดเด่นของการขายเดลิเวอรี่ วิธีการเลือกเมนูให้เหมาะสม ต้องตอบโจทย์ตั้งแต่ร้านเราถึงลูกค้า Food Safety เรื่องที่ผู้ประกอบการต้องใส่ใจ และการบริหารความเสี่ยงที่ร้านเดลิเวอรี่ต้องเจอ ไม่ต้องเอาทุกเมนูไปอยู่บนแพลทฟอร์ม ก่อนจะพูดถึงว่าอะไรเหมาะไม่เหมาะ ต้องปรับความคิดกันก่อนว่าไม่จำเป็นจะต้องเอาทุกเมนูที่ขายที่ร้านไปอยู่บนแอปฯ เพราะเมนูเยอะๆ ลูกค้าก็ไม่รู้ว่าจะเลือกกินอะไร เปิดมาหน้าแรกต้องเป็นเมนูแนะนำที่เราอยากขาย อยากให้คนกิน และกำไรดี ต้องจัดหมวดหมู่ของเมนูให้ดี โดยคำนึงถึงคุณภาพความอร่อย ลองคิดดูว่าเมนูอะไรที่ทำเสร็จแล้วส่งถึงบ้านลูกค้าภายในครึ่งชั่วโมงแล้วยังอร่อยอยู่ มันไม่เหมือนกับกรณีที่ลูกค้ามาซื้อจากที่ร้านสั่งกลับไปทานที่บ้าน เพราะเมื่อเขารับไปแล้วก็เป็นความรับผิดชอบของเขา เมื่อจะทำอาหารเดลิเวอรี่มันเป็นความรับผิดชอบของผู้ประกอบการ ลูกค้าบางคนรู้จักและลองสั่งอาหารของเราจากการเดลิเวอรี่ ถ้าเขาได้รับประสบการณ์ไม่ดีตั้งแต่ครั้งแรก เขาอาจจะไม่สั่งอีก และเลยไปถึงไม่อุดหนุนจากหน้าร้านของเราเลยด้วย ความปลอดภัยของอาหารหรือ ‘Food Safety’ เป็นเรื่องที่ต้องตระหนัก ผู้ประกอบการไทยโดยทั่วไปส่วนใหญ่มักไม่ค่อยมีความตระหนักถึงเรื่อง ‘ช่วงอุณหภูมิอันตราย’ (Danger Zone) อยู่ที่อุณหภูมิประมาณ 4 - 65 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นช่วงที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและจุลินทรีย์อาหารอะไรก็ตามที่ปล่อยทิ้งไว้ในช่วงอุณหภูมิแบบนี้เกิน 2 ชั่วโมง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีความชื้นเยอะก็จะมีความเสี่ยงต่อการบูดเสีย หรือทำให้เกิดอันตรายต่อผู้รับประทานเอาได้ นี่คือสิ่งที่ผู้ประกอบการเดลิเวอรี่จะต้องคิดว่าทำอย่างไรเพื่อระวังและลดความเสี่ยงให้มากที่สุด ซึ่งโชคดีที่ปัจจุบันนี้มีบรรจุภัณฑ์ที่พัฒนาเข้ามาตอบโจทย์ช่วยในจุดนี้ด้วย ‘ช่วงอุณหภูมิอันตราย’ (Danger Zone) เป็นช่วงที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและจุลินทรีย์ เสี่ยงต่อลูกค้าที่รับประทาน ผู้ประกอบการควรต้องใส่ใจ จัดการกับต้นทุนอย่างไม่โลกสวย ปัญหาคือการบริหารต้นทุน คนขายดีแต่เจ๊งมีเยอะแยะ การจัดการกับต้นทุนต้องทำตามความเป็นจริง และไม่โลกสวย ต้องคิดโครงสร้างราคา ต้นทุน ค่าเช่า ค่าจ้าง ค่าใช้จ่ายทั้งหมด รวมถึงต้นทุนแฝงทั้งหมด ต้องบาล๊านซ์ food cost ให้ดี อย่าทำร้านแบบดูดวง ต้องบริหารจัดการให้ดี สมมติว่าธุรกิจดั้งเดิมของเราเป็น Dine in ซึ่งมีค่าเช่าร้าน เมื่อเจอเข้ากับค่า GP แล้วต้องเจ็บแน่นอน ก็ต้องบริหารความเสี่ยงด้วยการกระจายพอร์ตให้ดี ให้รายได้จากการขายหน้าร้านครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมด แล้วให้เดลิเวอรี่เป็น top up ที่ช่วยเพิ่มรายได้ ไม่ใช่มาทำให้ขาดทุน Product ต้องดี...อย่าติดกับดักโลกสวยคนที่ลงทุนทีแรกๆ นั้นมักมองแต่ในแง่บวกเท่านั้น แต่ไม่เคยเผื่อใจเอาไว้เลย ขอแนะนำให้มองใน worst case เอาไว้ก่อนว่าถ้าเจ๊งไปจะทำยังไง บางคนเอาเงินเก็บก้อนสุดท้ายมาลงทุนทำร้านอาหาร แต่ถ้าเจ๊งไปจะทำอย่างไร คือบางคนอาจจะไม่เหมาะกับการทำร้านอาหาร แต่เหมาะที่เอาเงินไปเล่นหุ้นมากกว่า แต่อย่างไรก็ตามทุกคนสามารถที่จะเรียนรู้ได้ ซึ่งก็ต้องศึกษาให้ดีก่อน อยากให้ทุกคนเข้าสู่ธุกิจอาหารเพราะเรารู้จักกับอาหารหรือผลิตภัณฑ์ที่ตัวเองจะขายจริงๆ มากกว่าเทรนด์ของตลาด เพราะจะไม่ยั่งยืน product เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ถ้าคุณมีสินค้าดีและทำการตลาดดีก็จะเหมือนติดปีก แต่ถ้าคุณทำการตลาดดีแต่โปรดักส์ไม่ดี คนจะมาที่ร้านหรือซื้อของจากคุณเพียงครั้งเดียว มีคนเคยพูดกันไว้ว่า “การจ่ายเงินเพื่อให้ได้ลูกค้าใหม่...แพงกว่ารักษาลูกค้าเก่า” ก็อยากให้พิจารณาเรื่องนี้ให้ดี คลิกอ่านบทสัมภาษณ์น่าสนใจเพิ่มเติมได้ที่ พลิกตำรารับสถานการณ์ฉุกเฉินด้วยอาหาร Frozen ส่งทั่วไทยที่สร้างรายได้หลักแสน เริ่มต้นคำละ 11 บาท ปั้นธุรกิจซูชิแตะ 500 ล้านบาท หมัดเด็ดสร้างแบรนด์ Shinkanzen Sushi ของหนุ่มวัย 27 ปี บุญนำพา บริการจัดงานบุญถึงบ้าน แชร์ประสบการณ์ 7 ปี ร้านอาหารอยากทำจัดเลี้ยงต้องอ่าน! ไวรัสพลิกอาชีพ Flying Sweet บราวนี่เงินแสน ของกัปตันการบินไทย ต้องสู้ไม่ถอย อีกกี่วิกฤติก็ผ่านได้ กางสูตรทำร้านหมูทอด เจ๊จง ในยุคไวรัส
Learn more5 เคล็ดลับ! ทำ Food Delivery อย่างไร ให้อยู่รอด มีกำไร ไม่ติดลบ
เมื่อผู้ประกอบการร้านอาหารต่างตระหนักกันดีแล้วว่า การทำ Food Delivery นั้นเป็นหนทางสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจ ‘อยู่รอด’ รวมถึงต่อยอดกิจการของเราได้ แต่บางคนก็ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นคลำทาง หรือจะเดินไปยังทางรอดนั้นได้อย่างไร ทว่าไม่ต้องเป็นห่วงไป เพราะวันนี้เรามี ‘เชฟจ๊อบ-ณัฎฐินี ปลอดทอง’ ผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาร้านอาหาร จาก แม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี ผู้ช่ำชองในการให้คำปรึกษากับร้านอาหารต่างๆ มากมาย เชฟจ๊อบจะมาชี้ให้เราได้เห็นถึงความสำคัญของการทำ Food Delivery รวมถึงให้คำแนะนำที่ผู้ประกอบการทุกท่านควรพิจารณากันให้ดี เมื่อคิดปรับตัวทำ Food Delivery Delivery สำคัญและเป็น ‘ทางรอด’ อย่างไร? “ต้องเท้าความให้ฟังก่อนว่า มีการเริ่มทำฟู้ดเดลิเวอรี่ในเมืองไทยมาได้หลายปีแล้ว ซึ่งก่อนที่โควิด-19 จะเริ่มระบาดก็มีผู้ประกอบการเริ่มหันมาทำเดลิเวอรี่กันอยู่แล้ว แต่สมัยนั้นอาจจะสามารถสร้างรายได้ให้กับร้านอาหารอยู่แค่ประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์จากยอดรวมของรายได้ทั้งหมดเท่านั้น” “คือตอนนั้นแทบทุกร้านก็ยังเน้นที่จะขายหน้าร้านกันเป็นหลักอยู่ แต่เราก็เริ่มจะสังเกตเห็นเทรนด์การตลาดกับบ้างแล้วว่า มีผู้ประกอบการเกิดใหม่บางเจ้าที่เป็นดาวเด่นมุ่งขายเฉพาะเดลิเวอรี่ 100 เปอร์เซ็นต์ โดยไม่มีหน้าร้านเลยก็มี ทีนี้พอโควิดระบาดจนต้องล็อกดาวน์ไปเมื่อปีที่แล้ว ร้านจำนวนมากที่ก่อนหน้านั้นไม่เคยปรับตัวว่าจะต้องมาขายของบนแอปฯ ก็สูญเสียยอดขายกันไประดับหนึ่ง เรียกได้ว่าร้านอาหารไม่มีทางเลือก จนมาถึงตอนนี้ ที่ผู้บริโภคต่างก็ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมกันไปหมดแล้ว ร้านค้าเริ่มตระหนักกันแล้วว่า การทำ Food Delivery คือ ‘ทางรอด’ เพราะว่าเราไม่สามารถที่จะรอให้ลูกค้าเดินเข้ามาหาเราได้อีกต่อไปแล้ว เราต้องพาตัวเองไปถึงบ้านลูกค้าเพราะไม่ใช่ว่าทุกคนจะเดินมาหาเราที่ร้าน จะมากล้านั่งกินในร้านอยู่ได้นานๆ เหมือนอย่างสมัยก่อน ทุกคนก็อยากจะเซฟตัวเองด้วยกันทั้งนั้น” ทำเดลิเวอรี่แล้วใช่ว่าจะรอดทุกราย แม้ผู้ประกอบการแทบทั้งหมดจะเริ่มตระหนักถึงความสำคัญในฐานะ ‘ทางรอด’ ของการทำเดลิเวอรรี่กันดีแล้วก็ตาม แต่ก็ใช่ว่าผู้ประกอบการทุกร้านที่ขึ้นไปอยู่บนแอปพลิเคชันจะขายดีเหมือนกันหมด หรือแม้จะขายดีแต่กลับพบว่า เมื่อหักลบค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้วอาจจะไม่ได้กำไรเหมือนอย่างที่คิด เผลอๆ แล้วอาจจะขาดทุนเข้าเนื้อกันได้อีกที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าหลายๆ คนอาจยังไม่รู้ว่าควรมีวิธีคิด วิธีจัดการ ในเรื่องที่สำคัญนี้กันอย่างไร ซึ่งวันนี้เชฟจ๊อบได้นำเคล็ดลับอันเป็นข้อคิดที่ผู้ประกอบการจำเป็นต้องคำนึงถึงมาฝากเรา 5 ข้อด้วยกัน 1.อาหารที่เลือกมาเยอะไปไหม เหมาะหรือพร้อมที่จะส่งจากร้านไปจนถึงมือคนกินหรือเปล่า ผู้ประกอบการบางร้านเคยชินกับการขาย Dine In หรือขายหน้าร้าน เมื่อจะทำเดลิเวอรี่บนแอปพลิเคชันก็มักจะยกอาหารทุกเมนูขึ้นไปอยู่บนแอปฯ แต่อาหารบางอย่างก็อาจจะไม่เหมาะสม หรือไม่ได้มีวิธีจัดการที่ดี เพื่อให้ส่งไปถึงยังมือผู้รับประทานแล้วได้คุณภาพรสชาติใกล้เคียงกับการนั่งรับประทานที่ร้าน รายการอาหารที่เยอะเกินไปไม่ได้เป็นข้อดี ควรเลือกเมนูที่เหมาะสม “ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น คุณกินผัดไทยในร้านซึ่งผัดเสร็จส่งมาจากครัวถึงที่โต๊ะภายในระยะเวลาไม่เกิน 3 นาที เส้นยังไม่อืด ไม่เกาะกัน และผักสดๆ ที่มาคู่กันก็ยังไม่มีอะไรสลด เราได้กินผัดไทยที่อร่อยมากเลย แต่อันนี้คือ ‘ประสบการณ์’ ที่ร้านของคุณ หรือแม้กระทั่งลูกค้ามาซื้อกลับบ้านก็ไม่เห็นมีใครบ่นอะไร แต่อย่าลืมว่าเวลาลูกค้าซื้อกลับบ้าน คุณทำของดีร้อนๆ ส่งให้เขา พอเขาหิ้วออกไปก็ถือว่าเป็นความรับผิดชอบของเขาเองแล้ว เส้นมันจะอืดหรือจะเกาะกัน อย่างไรก็ไม่ใช่ความรับผิดชอบของร้าน เพราะลูกค้าจะไปกินตอนไหน เราไม่มีทางรู้ ลูกค้าเป็นคนสมัครใจมาซื้อไปเอง และเขาต้องดูแลอาหารของเขาเอง อันนั้นคือลูกค้าเขารับได้ แต่สำหรับการเดลิเวอรี่มันอีกเรื่องนะคะ ลูกค้าเขาคาดหวังว่าอาหารจากการเดลิเวอรี่พอส่งมาถึงมือแล้วเปิดกินก็ยังจะอร่อยและได้คุณภาพอยู่” เพราะฉะนั้น ข้อคิดที่สำคัญอย่างแรกก็คือ เมนูอาหารที่เราเลือกขึ้นไปอยู่บนแอปบนแพลตฟอร์มนั้นเยอะเกินไปหรือเปล่า และเหมาะสมไหม เราจะมีวิธีทำอย่างไรให้อาหารยังอร่อยตั้งแต่นาทีแรกที่ออกจากครัวไปจนถึงมือลูกค้า หรือถ้าอร่อยน้อยลงก็ต้องอยู่ในระดับที่โอเค ที่ทุกคนจะยอมรับได้ และจะไม่กลับมาบ่นว่าทำไมอาหารของเราไม่อร่อย ไม่มีคุณภาพ อีกอย่างหนึ่งคือลูกค้าบางคนเขาอาจจะรู้จักร้านของเราจากการลองสั่งเดลิเวอรี่ แต่ถ้าเขาได้รับประสบการณ์ที่ไม่ดีจากการสั่งครั้งแรก ก็อาจจะไม่สั่งซ้ำอีก หรือเลยไปถึงไม่ไปใช้บริการที่หน้าร้านของเราเลยก็ได้ ก็จะทำให้เราเสียโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย” สำหรับในประเด็นนี้สรุปว่า รายการอาหารที่เยอะเกินไปไม่ใช่เป็นข้อดี เพราะในแง่หนึ่งก็ไม่ชวนให้ลูกค้าตัดสินใจ เข้าทำนองว่าเยอะเสียจนไม่รู้ว่าจะตัดสินใจกินอะไร เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วควรจะเลือกเฉพาะเมนูที่เป็นหมัดเด็ด เมนูที่เป็นของดีของร้านเรา มีวิธีจัดการที่ทำให้ส่งถึงมือลูกค้าแล้วยังอร่อย อีกอย่างที่สำคัญคือเป็นเมนูที่เราขายแล้วได้กำไรดีด้วย 2.วิธีการแพ็คอาหารและบรรจุภัณฑ์ต้องเหมาะสม วิธีการบรรจุและการเลือกใช้แพ็คเกจจิ้ง มีกระทบต่อประสบการณ์ของลูกค้า ในเรื่องการวิธีการบรรจุ และการเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ไม่ว่าร้านของคุณจะขายอาหารอะไร สิ่งที่ร้านอาหารทุกร้านควรจะพิจารณาให้ดีคือ วิธีการแพ็คแบบไหนที่จะยังทำให้อาหารไม่เสียคุณภาพ ให้รูปยังสวย รวยรสอยู่ เมื่อต้องเดินทางจากที่ร้านไปถึงลูกค้า เพราะวิธีการบรรจุและการเลือกใช้แพ็คเกจจิ้งนั้น ย่อมมีกระทบต่อประสบการณ์การกินของลูกค้า ซึ่งจะเป็นตัวตัดสินได้เลยว่าครั้งต่อไปเขาจะกลับมาใช้บริการของเราอยู่ไหม ถ้าแพ็คอาหารไม่ดี คุณภาพไม่ได้ ลูกค้าอาจจะไม่กลับมาใช้บริการเดลิเวอรี่ของเราอีก 3.เรื่องการจัดการต้นทุน ผู้ประกอบการที่ตัดสินใจทำเดลิเวอรี่กับแอปพลิเคชันต่างๆ ย่อมรู้ว่าสิ่งที่หลีกหนีไม่ได้คือต้นทุนค่า GP ที่จะเพิ่มขึ้นมาอย่างแน่นอน สำหรับในเรื่องนี้เราต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าหลายๆ แอปฯ ส่งอาหาร นั้นมีค่าใช้จ่ายในการทำระบบและทำการตลาดแทนเรา ซึ่งแต่ละแอปฯ เองก็มีต้นทุนของเขา ซึ่งหากการตั้งค่า GP นั้นอยู่บนพื้นฐานของความยุติธรรมก็น่าจะเป็นเรื่องที่โอเคและทำใจยอมรับกันได้“เมื่อเราเข้าใจถึงจุดนั้นแล้วก็ย่อมต้องตระหนักถึงต้นทุนของกิจการ ว่าเราจะทำอย่างไรให้สามารถมีกำไรอยู่ได้บนค่าใช้จ่ายก้อนนี้ด้วย ซึ่งโดยหลักการแล้ว ถ้าขายหน้าร้านราคาหนึ่ง เมื่อขึ้นไปอยู่บนแอปฯ แล้วบวกเพิ่มเอาดื้อๆ ลูกค้าที่ใช้บริการหน้าร้านก็อาจจะรู้สึกไม่ดี ดังนั้นคำถามสำคัญจึงอยู่ที่ว่า สินค้าหรือเมนูที่เลือกมาอยู่บนแอปฯ นั้นเป็นโปรดักต์ที่มีช่องว่างของกำไรไหม แล้วเราจะดีไซน์อาหารที่ขายบนแอปฯ ให้มีกำไรได้อย่างไร เช่น บางทีขายกะเพราอยู่ที่ร้านเป็นเมนูเดี่ยว ก็อาจจะบิดนิดหนึ่งให้เป็นกะเพราบวกไก่ทอด 2 ชิ้น กลายเป็นเซ็ตขึ้นมา แล้วก็ทำราคาขึ้นมาใหม่ กลายเป็นไอเท็มที่หน้าร้านไม่มี ซึ่งเป็นราคาที่ได้คำนวณต้นทุน GP เอาไว้เรียบร้อยแล้ว การดีไซน์เมนูที่เหมาะกับการเดลิเวอรี่ ที่รวมต้นทุนทุกอย่าง รวมถึงค่า GP เอาไว้เรียบร้อยแล้วและลูกค้าก็ยังรู้สึกคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปก็จะช่วยแก้ปัญหาในเรื่องการจัดการกับต้นทุนลงไปได้” 4.โปรโมชั่น อย่าคิดว่าไม่สำคัญ หลายร้านเมื่อขึ้นไปอยู่บนแอปฯ แล้วก็มักจะอยู่อย่างนั้นเลยโดยที่ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น ปล่อยให้ลูกค้าเลื่อนนิ้วมาเจอแล้วกดสั่ง ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ถือว่าโชคดีมาก แต่ผู้ประกอบการต้องเข้าใจว่า ถ้า อยากทำเดลิเวอรี่แล้วเกิดนั้น ทุกวันนี้มีคู่แข่งเยอะมาก ก็ควรต้องมีการตั้งงบประมาณในการทำโปรโมชั่นเอาไว้บ้าง ต้องคอยหมั่นศึกษาว่าแอปพลิชันไหนมีลูกเล่นให้เราทำโปรโมชั่นอย่างไรบ้าง เพื่อเป็นการโปรโมทร้านให้ติดตลาด ยกตัวอย่างแอปพลิเคชัน Robinhood ซึ่งไม่มีการเก็บค่า GP แต่มีฟังก์ชั่น LS ที่สามารถให้แต่ละร้านให้ส่วนลดให้กับลูกค้าได้โดยตรง นอกจากนี้การจัดโปรโมชั่นลดราคายังเป็นการเพิ่มแรงจูงใจให้กับลูกค้า โดยเฉพาะลูกค้าที่ไม่เคยใช้บริการของร้านเรามาก่อน ก็จะได้มีโอกาสชิมอาหาร และหากติดใจได้รับประสบการณ์ที่ดี ย่อมจะกลายเป็นลูกค้าขาประจำได้ในอนาคต 5.จะเลือกใช้แอปพลิเคชั่นอะไรดี? แพลตฟอร์ม Food Delivery หลากหลายเจ้า ต่างก็มีรายละเอียดและจุดเด่นแตกต่างกัน หลายๆ ร้านที่เริ่มทำเดลิเวอรี่มักมีคำถามว่า “ควรจะใช้แอปฯ อะไรดี?” ต้องบอกว่าแพลตฟอร์มแต่ละเจ้านั้นมีรายละเอียดที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งมีแอปฯ แบบทั้งที่ต้องเสียและไม่ต้องเสียค่า GP รวมถึงลูกเล่นต่างๆ ก็ไม่เหมือนกัน ที่สำคัญอันดับแรกคือต้องไปดูว่าในพื้นที่ของร้านเรานั้นลูกค้านิยมสั่งอาหารจากแอปฯ ไหน และในแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศไทยนั้นก็มีแพลตฟอร์มผู้ให้บริการไม่เหมือนกัน ซึ่งบางแพลตฟอร์มอาจจะให้บริการในทุกจังหวัด แต่บางเจ้าก็ยังไม่ครอบคลุม สำหรับพื้นที่ซึ่งมีตัวเลือกแอปฯ หลายๆ เจ้านั้น ต้องบอกว่า บางทีเราก็เดาไม่ถูกหรอกว่าแต่ละช่วงนั้นคนกินจะไปกองกันอยู่ที่แอปฯ ไหน เพราะลูกค้าหลายๆ คนก็มีไว้แทบทุกแอปฯ แล้วดูว่าช่วงไหนที่แอปฯ นั้นมีโปรโมชั่นก็จะสั่ง เพราะฉะนั้นในฐานะผู้ประกอบการ ถ้าคุณยอมรับเงื่อนไขของแอปฯ ไหนได้ ไม่ว่าจะเป็นเงื่อนไขการจ่ายเงิน การเก็บค่า GP ว่ามีอัตราส่วนเท่าไหร่ มี VAT หรือไม่มี ฯลฯ หากเราสามารถจัดการกับสิ่งเหล่านี้ได้ ก็ควรเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในทุกแอปฯ หลังจากนั้นแล้ว ก็ค่อยกลับมาพิจารณาดูว่า แอปฯ ไหนส่งยอดขายให้เราได้เยอะ และเมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้วเราพอใจไหม จึงค่อยเลือกก็ได้ ทั้งนี้ผู้ประกอบการควรที่จะพิจารณาข้อดีข้อเสียของแต่ละแอปฯ และเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับร้านของเรา “สิ่งสำคัญอีกอย่างที่อยากจะบอกก็คือ ถ้าคุณเป็นมือใหม่ที่กำลังจะทำเดลิเวอรี่ และบอกว่า “ฉันจะเลือกใช้เฉพาะเจ้าที่ไม่เก็บค่า GP เท่านั้น” มันก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะได้ลูกค้า วิธีคิดที่เป็น Smart Thinking คือควรจะลองกับทุกเจ้า ว่าได้ผลแตกต่างกันอย่างไร สมมติว่าคุณกันงบโปรโมชั่นเอาไว้ ก็ลองทำดูให้รู้ว่าแต่ละแอปฯ นั้นเปิดโอกาสให้คุณทำโปรฯ อย่างไร และเมื่อทำไปแล้วช่องทางไหนที่ Effective ได้ผลที่สุด จากที่เคยกระจายลงทุกเจ้าก็ค่อยมาเน้นมาทำโปรฯ กับช่องทางที่ให้ผลประโยชน์กับร้านเรามากที่สุด และคุณก็ต้องบริหารให้ได้ผลประโยชน์สูงสุดบนแพลตฟอร์มแต่ละแพลตฟอร์ม”คลิกอ่าบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ เผยกลยุทธ์ “ขายดี” บนแอปฟู้ด ฉบับ Robinhood พร้อมแนวคิดไม่เก็บ GP ตอบโจทย์ร้านคนตัวเล็ก ประหยัดต้นทุนและเวลา ช้อปแบบไร้รอยต่อ เพื่อแก้ปัญหาผู้ประกอบการ ด้วย MakroClick ยุคนี้ “รูปสวยรวยรส” ไม่พอ ต้อง “Food Safety” ยกระดับ Delivery ดีต่อสุขภาพ ก้าวสู่หลักวิถีสากล ร้านเล็กก็สำเร็จได้! สรุป 7 บทเรียนจาก Street Food แบรนด์ใหญ่ ที่ร้านเล็กนำไปปรับใช้ได้จริง พลิกตำรารับสถานการณ์ฉุกเฉินด้วยอาหาร Frozen ส่งทั่วไทยที่สร้างรายได้หลักแสน
Learn moreวิธีสร้าง Branding ผ่าน Packaging อาหาร เพิ่มมูลค่า สร้างความแตกต่าง ลูกค้าจำร้านเราได้
โดยปกติเมื่อลูกค้ามารับประทานอาหารที่ร้าน มักจะได้รับประสบการณ์และจดจำร้านของเราได้ด้วยหลายๆ ปัจจัยที่แวดล้อมภายในร้าน ซึ่งล้วนเป็น ‘Touchpoint’ ที่สำคัญของ Branding ซึ่งลูกค้าไม่เพียงแต่มาลิ้มรสอาหาร แต่ยังมาเพื่อเสพประสบการณ์ที่ร้านของร้านเราด้วย แต่เมื่อสั่งอาหารผ่านการเดลิเวอรี่นั้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้ย่อมจะด้อยลง รู้หรือไม่ว่า เราสามารถมอบประสบการณ์ที่ดีในการรับประทานอาหารให้กับลูกค้า และยังทำแบรนด์ดิ้งผ่านการเดลิเวอรี่ไปพร้อมๆ กันได้ ด้วยการให้ความสำคัญกับแพ็กเกจจิ้งซึ่งผู้เชี่ยวชาญที่จะมาให้ความรู้กับผู้ประกอบการร้านอาหารเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ คุณปฐมพงศ์ ดีปัญญา CEO ของ Dezpax สตาร์ทอัพผู้ให้บริการ Solution แพ็กเกจจิ้งสำหรับธุรกิจร้านอาหาร SME โดยเฉพาะ “การที่ลูกค้ามารับประทานที่ร้าน จะได้เสพประสบการณ์ซึ่งเป็น Emotional ที่ร้านต่างๆ ได้สื่อสาร Branding ผ่านองค์ประกอบต่างๆ ภายในร้าน ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่ที่จอดรถ ทางเข้าหน้าร้าน โลโก้ สีโต๊ะ บรรยากาศการตกแต่ง การต้อนรับและการให้บริการของพนักงาน คุณภาพและรสชาติของอาหาร ฯลฯ มันคือองค์ประกอบทุกอย่างภายในร้านก็ว่าได้ แต่พอเป็นบริการ Food Delivery ปุ๊บ ประสบการณ์และ Branding ที่ลูกค้าจะได้รับคือผ่านอะไร?”“ต้องบอกว่า ผู้ประกอบการเดลิเวอรี่เองก็มีหลายรูปแบบนะครับ คือมีทั้งแบรนด์ใหญ่ๆ ที่ลูกค้าจดจำกันได้ดีอยู่แล้ว แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นร้าน SME หรือเป็น Home Delivery ซึ่งยังมีลูกค้าอีกจำนวนมากที่ยังไม่ได้รู้จักร้านของเรา เวลาลูกค้าสั่งอาหารไปและส่งมาจนถึงมือ สิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็มีเพียงแค่ 2 อย่าง คือ ‘แพ็กเกจจิ้ง’ และ ‘อาหาร’ ดังนั้นการให้ความสำคัญกับบรรจุภัณฑ์จึงมีความสำคัญมากๆ ในการทำ Food Delivery” ยกตัวอย่างที่หลายๆ คนเองก็น่าจะเคยเจอ กับร้านอาหารที่รสชาติอร่อย แต่ลูกค้ากลับประสบปัญหาเมื่อได้รับอาหาร โดยพบว่ามีอาหารหกเลอะเทอะ ซึ่งอาจจะเกิดจากการที่บรรจุภัณฑ์ที่เลือกใช้ไม่สามารถตอบโจทย์ในการปกป้องอาหารได้ หรือไม่สามารถรองรับความเสี่ยงของการเดินทางได้ ทำให้อาหารมาถึงมือลูกค้าในสภาพที่ไม่สวยงามสมบูรณ์ เผลอๆ ยังหกเลอะเทอะให้ลูกค้าต้องจัดการ แม้อาหารจะอร่อย และลูกค้าก็ได้รับประสบการณ์ที่ไม่ดีไปเสียแล้ว เพราะฉะนั้นหน้าที่แรกที่สำคัญมากของแพ็กเกจจิ้ง ก็คือการปกป้องสินค้าที่อยู่ข้างใน ให้เดินทางถึงมือผู้บริโภคอย่างสมบูรณ์ ส่วนหน้าที่อย่างที่สองก็คือการสร้างแบรนด์ดิ้ง Packaging Is A Silent Salesman “ในต่างประเทศเขาจะมีคำพูดคำหนึ่งว่า “บรรจุภัณฑ์ คือเซลแมนที่ขายของอย่างเงียบๆ” (Packaging is a silent salesman) ซึ่งหมายถึงว่า แพ็กเกจจิ้งนั้นทำหน้าที่เหมือนพนักงาน หรือตัวช่วยในการขายได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้เสียงพูด ลองนึกภาพเวลาเราไปซูเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งบางครั้งเราก็สะดุดตากับแพ็กเกจจิ้งซึ่งดึงดูดใจให้เราเข้าไปดูสินค้าตัวนั้น บรรจุภัณฑ์จึงเป็นเครื่องมือสื่อสารทางการตลาดที่ดีมาก” แพ็กเกจจิ้งที่เหมาะสมกับอาหาร ช่วยมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า และยังเป็นการสร้างแบรนด์ดิ้งให้กับร้านได้ด้วย บรรจุภัณฑ์ = สิ่งสำคัญที่ช่วยสร้างทั้งแบรนด์ดิ้งและเพิ่มมูลค่า “ปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘กล่องใส่อาหาร’ เป็นหัวใจหลักสำคัญของ ธุรกิจร้านอาหาร ที่นอกจากจะต้องคำนึงถึงรสชาติอาหารและอาหารที่น่าทานแล้ว ที่ขาดไม่ได้ก็ต้องเป็นเรื่องของ ความสะอาด ความปลอดภัย และกล่องอาหารที่ได้มาตรฐาน” “แต่ละธุรกิจร้านอาหารต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมกับเมนูนั้นๆ หรือร้านของตัวเอง บรรจุภัณฑ์จึงถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องสามารถตอบโจทย์ ความต้องการของลูกค้าหรือผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี สำคัญอย่างยิ่งในการคำนึงถึงการขนส่งไปยังลูกค้า หรือผู้บริโภค เพราะเมื่อเวลาถึงมือลูกค้าแล้วเขาจะได้รับความรู้สึกใส่ใจ และคุณภาพของบรรจุภัณฑ์อาหารของคุณ” ลองนึกถึงอาหารอย่างเดียวกัน อาจจะเป็นข้าวผัดกะเพราเหมือนกันก็ได้ กล่องแรกใส่กล่องโฟม ซึ่งอาจจะขายในราคาเพียงแค่ 40 บาท กับอีกกล่องใส่ชาม Food Grade ที่มี 2 ชั้น ชั้นล่างใส่ข้าว ชั้นบนใส่ผัดกระเพรา แยกกันชัดเจน และเป็นรูปแบบของชามที่มีฝาปิด บรรจุภัณฑ์แบบนี้นอกจากช่วยปกป้องอาหารได้แล้ว ยังช่วยในเรื่องของการคงรสชาติ เพราะไม่ได้ราดผัดกะเพราลงไปบนข้าวโดยตรง ซึ่งกว่าจะไปถึงมือของลูกค้า (หรือหากลูกค้าไม่ได้รับประทานทันที) ก็อาจจะทำให้ข้าวแฉะเสียรสชาติไปเสียแล้ว แต่ถ้าเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่มีฟังก์ชั่นแบบนี้ ย่อมจะช่วยคงรสชาติและคุณภาพของอาหาร และอัพราคาขายขึ้นมาได้ 89 บาท หรือราวๆ นั้น ซึ่งกลายเป็นว่า ค่าแพ็กเกจจิ้งอาจจะเพิ่มขึ้นมาแค่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์ แต่ว่าราคาอาหารนั้นสามารถที่จะ Value Added (เพิ่มมูลค่า) ขายได้ราคาเพิ่มขึ้น เพราะผู้บริโภคเองก็ยินดีจ่ายแพงขึ้นเพื่อแลกกับบรรจุภัณฑ์ที่เป็น Food Grade และได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้นโดยเห็นว่าคุ้มค่าคุ้มราคา ถือเป็นผลกำไรของทางร้านไป นี่นับเป็นตัวอย่างในเรื่องของการทำแบรนด์ดิ้ง และอัพมูลค่าด้วยการเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ ยกระดับอาหารและเพิ่มมูลค่าขึ้นมาได้ จะเลือกใช้บรรจุภัณฑ์แบบไหนให้เหมาะสมกับอาหาร ในแง่ของฟังก์ชั่นการใช้งาน สิ่งสำคัญคือต้องทำความเข้าใจว่า อาหารที่ขายนั้น Sensitive หรืออ่อนไหวกับอะไร ยกตัวอย่างเช่น อาหารจำพวกของทอดกรอบๆ นั้นเซนซิทีฟกับบรรจุภัณฑ์ที่ไม่สามารถระบายความร้อน ถ้าใส่อาหารไปทั้งที่ยังร้อนๆ และบรรจุภัณฑ์ที่เลือกใช้ไม่มีฟังก์ชั่นที่สามารถระบายหรือซึมซับไอน้ำได้นั้น กว่าจะถึงมือลูกค้าย่อมทำให้อาหารทอดสูญเสียความกรอบอร่อยไปได้ หรืออาหารที่เป็นซุปถ้าไม่สามารถที่จะปิดสนิทก็อาจจะหกเลอะเทอะได้ เป็นต้น อีกอย่างหนึ่งคือ การทำความเข้าใจต่อพฤติกรรมของผู้บริโภคเช่น ประเภทอาหารที่สั่งไปนั้น นอกจากผ่าน ‘Journey’ หรือการเดินทางไปจนถึงมือลูกค้า มักจะมีพฤติกรรมอย่างไร รับประทานในทันทีเลยหรือเปล่า หรือเป็นอาหารที่มักทิ้งเอาไว้นาน หรือเก็บเอาไว้ข้ามวันเพื่อรับประทาน ยกตัวอย่างอาหารคลีนที่ลูกค้ามักจะสั่งเป็นเซ็ต 3 มื้อ หรือ เซ็ต 3 วัน 5 วัน หรือตลอดทั้งสัปดาห์ ดังนั้นฟังก์ชั่นหนึ่งของอาหารคลีนเหล่านี้ที่ควรจะมีคือ ต้องสามารถเข้าช่องแช่แข็งได้ และยังต้องเข้าไมโครเวฟได้ เราจึงต้องเข้าใจ และนึกถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคด้วยเวลาที่เลือกใช้แพ็กเกจจิ้ง Tips ในการสร้างแบรนด์ผ่านแพ็กเกจจิ้งนอกจาก Printing Solution ในแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพิมพ์โลโก้ลงไปบนสติกเกอร์สำหรับแปะ พิมพ์ลงไปบนบรรจุภัณฑ์โดยตรง หรือพิมพ์เป็นสายคาด ฯลฯ แพ็กเกจจิ้งที่ถูกดีไซน์มาเป็นอย่างดี ยังสามารถช่วยบอกเล่าเรื่องราว หรือ Story ที่น่าสนใจของแบรนด์ รวมถึงลิงค์ไปยังช่องทางต่างๆ ของแบรนด์ได้อีกด้วย ซึ่งมีทิปที่ผู้ประกอบการสามารถนำไปปฏิบัติตามได้ดังต่อไปนี้ เพิ่ม Tagline หรือสโลแกน ไปจนถึงเรื่องราวการเดินทางของวัตถุดิบ การปรุงที่พิถีพิถัน หรือเรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจของแบรนด์หรือเมนูอาหาร โดยให้อยู่บนฉลาก สายคาด สติ๊กเกอร์หรือตำแหน่งบนพื้นที่เหมาะสมของบรรจุภัณฑ์ มี QR Code สำหรับลิงค์ไปยังเว็บไซต์ เพจ Line ID หรือรายละเอียดช่องทางการติดต่อต่างๆ ของร้าน ‘โอ้กะจู๋’ ร้านสลัดผักชื่อดัง นับเป็นแบรนด์ที่เล่าเรื่องราวทำแบรนด์ดิ้งผ่านแพ็กเกจจิ้งได้อย่างน่าสนใจ Dezpax สตาร์ทอัพ Packaging ที่มอบ Solution ให้กับการทำ Food Delivery ประเทศไทยมีธุรกิจร้านอาหารที่เป็น SME กว่า 300,000 ร้านทั่วประเทศ แม้จะไม่ใช่ผู้ประกอบการรายใหญ่ แต่ก็ถือว่ามีจำนวนเยอะมาก ซึ่งโดยปกติแล้วหากต้องการทำแพ็กเกจจิ้งเป็นของตนเอง ก็ต้องติดต่อโรงงานต่างๆ และ ประสบปัญหา เนื่องจากมีขั้นต่ำที่ต้องสั่งทีละเยอะๆ เพื่อให้ได้ของในราคาที่ถูกลง ซึ่งบางทีก็มีสินค้าที่ต้องซื้อหลายรายการ สมมติว่าเป็นร้านกาแฟร้านหนึ่ง ก็ต้องมีทั้งแก้วกาแฟเย็นพลาสติก แก้วกาแฟร้อน ปลอกใส่แก้วกาแฟกันร้อน หลอด ช้อนคน ถุงใส่ ถุงหิ้ว กล่องใส่ขนม ฯลฯ ซึ่งการจะสั่งสินค้าหลายๆ อย่างบางทีก็ต้องสั่งจากหลายๆ โรงงาน แถมยังต้องสั่งของมาสต็อกจำนวนมากๆ เพราะต้องทำราคาให้ต้นทุนต่ำเข้าไว้ ทว่าการสั่งของทีละเยอะๆ ก็ทำให้เงินทุนไปจมอยู่ที่สต็อกของพวกนี้ การจะดีลกับผู้ผลิตหลายๆ เจ้านั้นก็เป็นเรื่องยุ่งยากที่ทำให้ผู้ประกอบการเสียเวลา Dezpax ได้เล็งเห็นถึง Pain Point ที่สำคัญตรงจุดนี้ของผู้ประกอบการร้านอาหาร SME จึงได้ออกแบบ B2B E-commerce Platform มาเพื่อที่จะตอบโจทย์แก้ปัญหาให้กับร้านอาหาร SME โดยตรง Dezpax เป็น B2B E-commerce Platform ที่ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาให้กับร้านอาหาร SME โดยตรง ข้อดีของ Dezpax สำหรับผู้ประกอบการร้านอาหาร SME กระบวนการสั่งซื้อง่าย สะดวกสบาย โดยแบ่งหมวดหมู่ของสินค้าออกมาให้ค้นหาแพ็กเกจจิ้งที่เหมาะกับแต่ละธุรกิจอาหาร ครอบคลุมทุกการใช้งาน ไม่ต้องสั่งจำนวนเยอะๆ ให้ต้นทุนจม ซึ่งจะเป็นผลดีในเรื่อง Cash Flow ของร้านให้มีเงินหมุนไปใช้จ่ายในเรื่องสำคัญอื่นๆ ของธุรกิจ ทั้งยังไม่เปลืองพื้นที่สต็อกของ ขายในราคาที่เหมือนซื้อจากโรงงาน และสามารถทยอยซื้อได้บ่อยตามความต้องการ แถมยังจัดส่งให้ฟรีอีกด้วย เป็น One Stop Solution ให้กับกลุ่มร้านอาหาร SME เพื่อช่วยในการประหยัดต้นทุนและเวลา นอกจากสามารถสั่งซื้อสินค้าต่างๆ ได้จากที่นี่ที่เดียวแล้ว ยังมีบริการพิมพ์เพื่อสร้าง Branding ด้วยการออกแบบ Journey ในการสั่งซื้อที่ง่ายและสะดวก เช่น เมื่อเลือกบรรจุภัณฑ์ได้แล้วจะสั่งพิมพ์โลโก้ ก็มีระบบแสดงตัวอย่างและคำนวนราคาให้ลูกค้าเห็นในเว็บไซต์ได้เลย เพื่อช่วยในการตัดสินใจ หรือหากต้องการให้ช่วยออกแบบให้ก็มีทีมดีไซเนอร์มืออาชีพที่คอยดูแลให้บริการด้วย มี Printing Solution การพิมพ์แบบต่างๆ ที่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นพิมพ์สติกเกอร์สำหรับแปะ พิมพ์ลงไปบนบรรจุภัณฑ์ พิมพ์เป็นสายคาด หรือพิมพ์ทั้งแพ็กเกจจิ้งเลย โดยสามารถเลือกแบบและเรทราคาที่ต้องการ เพื่อให้ระบบคำนวนราคาให้ตัดสินใจสั่งซื้อได้ทันที ช่องทางการจัดจำหน่าย Dezpax dezpax.com Facebook : Dezpax LINE Official : @dezpax Dezpax Packaging Solutions Design Studio ที่ Makro สาขาสาทร เปิดให้บริการทุกวัน โดยลูกค้าสามารถแวะเข้าไปได้เพื่อไปชมหาไอเดียในการเลือกใช้แพ็กเกจจิ้ง รวมถึงรับคำปรึกษาจากพนักงานของ Dezpax ที่พร้อมและเต็มใจให้บริการได้ฟรี
Learn moreอาหารทานเล่น กำไรไม่เล่นๆ ทำง่าย เพิ่มยอดขาย ได้หลายช่องทาง
ถ้าจะเพิ่มเมนูสักเมนูในร้าน ก็ควรอย่างยิ่งที่จะทำกำไรงามๆ ให้กับร้าน ไม่กระทบต่อต้นทุนของร้าน และไม่การทำงานของพนักงานในร้าน อาหารทานเล่นเมนูขายดี ขายได้ตลอดกาล ทำง่าย กำไรงาม สามารถเพิ่มยอดขายต่อโต๊ะ ต่อบิล ได้แน่นอน ไม่ปล่อยให้โต๊ะวาง เวลารอ…เวลาทอง เมื่อลูกค้าเข้ามาในร้านอาหาร สิ่งที่ลูกค้าต้องการคือรับประทานอาหาร เพราะฉะนั้นอย่าปล่อยให้โต๊ะของลูกค้าว่าง เสิร์ฟอาหารให้ไว แต่อาหารจานหลักอาจต้องใช้เวลารอสักนิด ในช่วงเวลารออาหารจานหลักนี้ ร้านอาหารสามารถเพิ่มยอดขายต่อโต๊ะได้ด้วยเมนูของทานเล่น ซึ่งลูกค้าสามารถสั่งมาทานเป็นออเดิร์ฟก่อนทานอาหารมื้อหลัก หรือเป็นอาหารจานกลางก็ได้ เมนูทานเล่นเป็นตัวคั่นเวลาชั้นดีสำหรับลูกค้า และเป็นเมนูชั้นยอดที่กำไรงามสำหรับเจ้าของร้าน หากร้านไหนยังไม่มีเมนูทานเล่น ช่วงเวลาแห่งความสุขนี้เป็นโอกาสดีที่สุดที่จะเริ่มมีอาหารทานเล่น เพราะในช่วงเวลานี้มีวันหยุดเยอะ มีเทศกาลให้ได้รวมตัวกันรับประทานอาหารมื้อใหญ่ ช่วงเวลารออาหารจานหลักสามารถตัดสินใจสั่งเมนูอาหารทานเล่นมารับประทานด้วยกันได้ง่าย และเมนูทานเล่นยังสร้างความหลากหลายและความสุขบนโต๊ะอาหารได้ ถ้าร้านของคุณมีเมนูทานเล่นเป็นตัวเลือกในเมนูเชื่อว่าลูกค้าจะอยากสั่งเมนูทานเล่นมาเพิ่มสีสันและบรรยากาศในการรับประทานอาหารอย่างแน่นอน แนะนำเมนูทานเล่นอย่างไรให้ขายได้ ขายดี เมื่อเป็นเมนูเสริม ก็ต้องเสริมการขายเข้าไปด้วย ลูกค้าอาจจะไม่ได้ตั้งใจมาสั่งเมนูอาหารทานเล่น แต่พนักงานสามารถนำเสนอได้ เมื่อพนักงานเสิร์ฟรับออเดอร์จานหลักแล้ว ควรให้พนักงานลองเสนอเมนูทานเล่น ก็ยิ่งจะทำให้ลูกค้าตัดสินใจได้ไม่ยาก หรืออีกวิธีสามารถทำสื่อในร้านให้ดึงเตะตาลูกค้า เช่นเมนูตั้งโต๊ะ(Tent Card) หรือป้ายติดภายในร้าน เป็นเมนูทานเล่นที่มีโปรโมชั่นพิเศษก็จะยิ่งช่วยกระตุ้นชักจูงลูกค้าให้สนใจได้ เมนูทานเล่น ควรเป็นเมนูที่ใช้เวลาในการทำไม่นาน เสิร์ฟได้รวดเร็ว เพื่อเสิร์ฟคั่นเวลาก่อนอาหารจานหลักได้ทัน และทำไม่นานไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการทำเมนูจานหลักของพนักงานครัว ที่สำคัญแม้จะเร็วรสชาติต้องอร่อยคงที่ ได้มาตราฐาน ไถเพลินๆ ก็เพิ่มยอดขายต่อบิลได้ ลูกค้าใช้บริการเดลิเวอรี่ เจ้าของร้านอาหารก็สามารถบิ้วลูกค้าเพื่อเพิ่มยอดขายต่อบิลได้ ลองนึกๆ ดู เมื่อลูกค้าสั่งอาหารจานหลักแล้ว เลื่อนๆ ลงมายังมีเมนูทานเล่นล่อตาล่อใจให้ลูกค้ากดสั่งเพิ่มได้อีก ไหนๆ ก็เสียค่าส่งแล้วสั่งเพิ่มอีกสักหน่อยให้คุ้มค่าส่ง ก็จะเป็นโอกาสที่ดีของร้านอาหารในการเพิ่มยอดขายต่อบิลสำหรับเดลิเวอรี่ มากไปกว่านั้นสามารถจัดเซ็ทโปรโมชั่น เซ็ทคุ้มค่า อาหารจานหลัก + เมนูทานเล่น ก็จะยิ่งทำให้ลูกค้าตัดสินใจสั่งซื้อได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้ต้องออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้เหมาะสมกับเดลิเวอรี่ และคำนวณตุ้นทุนให้ครบด้วย ลูกค้าไม่เข้าร้าน ก็สร้างยอดขายให้ร้านได้ หากหน้าร้านอาหารของคุณมีพื้นที่แล้วละก็ อย่าปล่อยให้ว่าง สามารถเปิดบูธเมนูทานเล่นขายหน้าร้านได้ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับร้าน เพราะแม้ไม่ได้เข้ามาทานอาหารให้ร้าน ลูกค้าที่สัญจรไป-มา ก็สามารถซื้อเมนูทานเล่นได้เช่นกัน อีกทั้งลูกค้าที่เข้ามาในร้านแล้วก็จะได้เห็นบูธเมนูทานเล่นที่ล่อตาล่อใจด้วย เมนูทานเล่น ทำง่าย ซื้อได้วันนี้เลย! นักเก็ตไก่ มีส่วนผสมของเนื้อไก่อย่างดี ตัวแป้งบางกรอบ ทำให้ได้เนื้อไก่ทั้งแน่นและความกรอบของตัวแป้ง ทานคู่กับซอสมะเขือเทศเพื่อเพิ่มรสชาติความอร่อย เพิ่มความพิเศษซาวครีมที่อมเปรี้ยวหน่อยๆ ตัดมันตัดเลี่ยนของทอดได้ดี หรือจะเป็นสไตล์ไทยทานคู่กับน้ำจิ้มไก่ก็ได้ หากโต๊ะไหนมีเด็กๆ มาด้วยล่ะก็ เมนูนี้อย่าพลาดที่จะแนะนำ เลือกซื้อ Aro นักเก็ตไก่ ได้ที่ Makro Click คลิกเลย ไก่ทอดคาราอะเกะ เนื้อไก่ด้านในที่ความชุ่มช่ำ ไม่แห้งจนเกินไป ตัวแป้งมีความกรอบ และมีกลิ่นที่หอมอ่อนๆ เฉพาะตัว และที่สำคัญ ไก่ทอดคาราอะเกะ จาก Aro เป็นสินค้าได้รับเครื่องหมายฮาลาล เลือกซื้อ Aro ไก่ทอดคาราอะเกะแช่แข็ง ได้ที่ Makro Click คลิกเลย ทอดมันกุ้ง มีรสชาติกุ้งและเนื้อปลาเต็มคำ ตัวแป้งบางกรอบ ทำให้ไม่เสียรสสัมผัสเนื้อสัตว์ด้านใน ทอดแล้วไม่อมน้ำมันจนเกินไป สามารถเสิร์ฟได้เร็ว สะดวกในการจัดเตรียมเพราะไม่ต้องนำออกมาละลาย สามารถนำออกจากตู้เย็นและทอดได้เลย เลือกซื้อ Aro ทอดมันกุ้ง ได้ที่ Makro Click คลิกเลย ปอเปี๊ยะกุ้ง เมนูทานเล่นยอดนิยมอย่างปอเปี๊ยะกุ้ง ถือเป็นอีกหนึ่งเมนูน่าทำขาย เพราะสามารถทอดได้ทันที เสิร์ฟเร็วทันใจลูกค้า ไม่ต้องปรุงรสเพิ่ม เพียงเสิร์ฟคู่กับน้ำจิ้มรสเด็ดเป็นอันจบ อัดแน่นไปด้วยกุ้งเต็มคำพร้อมวุ้นเส้นเคี้ยวหนึบ นำไปทอดทานกรอบ ๆ บอกเลยว่าฟิน! เลือกซื้อ Aro ปอเปี๊ยะกุ้ง ได้ที่ Makro Click คลิกเลย เกี๊ยวซ่าไส้หมูแน่นเต็มคำ และเกี๊ยวซ่าไส้ผัก ไส้หมูแน่นเต็มคำ แป้งมีความนุ่ม เวลาเอานำออกมานึ่งแล้วไม่มีเละ เป็นทรงเกี๊ยว ขนาดที่เท่ากัน ได้มาตราฐานจากโรงงานการผลิต หรือสำหรับลูกค้าทานเจ สามารถเสิร์ฟเกี๊ยวซ่าไส้ผักได้ กัดไปตรงไหนก็เจอแต่ไส้แน่นเต็มคำเช่นกัน เลือกซื้อ Aro เกี๊ยวซ่าไส้หมู และ Aro เกี๊ยวซ่าไส้ผัก ได้ที่ Makro Click คลิกเลย ถ่ายรูปสวย จูงใจง่าย เพิ่มมูลค่า ไม่ว่าจะเป็นเมนูทานเล่นที่คั่นเวลา เมนูทานเล่นที่ล่อตาล่อใจใน List Menu Delivery App หรือจะเป็นบูธหน้าร้าน ก็ควรเพิ่มความน่าสนใจ น่าตื่นเต้น จุดเด่นให้กับอาหารทานเล่นให้สะดุดตาสักหน่อย เช่น เกี๊ยวซ่าหน้าชีส นักเก็ตไก่ราดชีส ไก่ทอดคาราอะเกะปาริก้า เป็นการเพิ่มมูลค่าสินค้า และที่สำคัญหากหน้าตาน่ารับประทาน ลูกค้าสามารถถ่ายรูปสวยๆได้ ก็จะจูงใจให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อง่ายขึ้นอีกด้วย
Learn moreเนื้อสไลด์ทีเด็ดชาบู ร้านไหนๆ ก็ต้องมี! ใบพายวัวสไลด์ สะโพกวัวสไลด์ สันคอวัวสไลด์น่องวัวสไลด์
ร้านชาบูยังคงเป็นที่นิยมของลูกค้า เพราะบรรยากาศภายในร้านและเสน่ห์ของชาบูที่เป็นการรวมกลุ่มเพื่อน ครอบครัว ญาติพี่น้อง มานั่งกินพร้อมกัน เป็นสีสันของการรับประทานอาหารในมื้อแห่งความสุข นอกจากบรรยากาศร้านที่ครื้นเครงแล้ว วัตถุดิบที่หลากหลายสามารถเลือกรับประทานได้หลายอย่าง รวมทั้งวัตถุดิบสามารถรองรับลูกค้าได้ทุกกลุ่มอายุ ตั้งแต่เด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ และยังเป็นมื้อสุขภาพหลีกเลี่ยงน้ำมันทอดหรือการปื้งย่างที่ทำให้เกิดการไหม้ ทำให้ธุรกิจร้านชาบูยังเติบโตและอยู่คู่คนไทยไปได้อีกไกล เนื้อสไลด์ทีเด็ดชาบู คำว่า “ชาบู” ที่เราคุ้นชินกันมาจากชื่อเต็มๆ ว่า “ชาบูชาบู” หมายถึงอาหารญี่ปุ่นที่ตั้งหม้อน้ำซุปให้ร้อน ใส่ผักชนิดต่างๆ และลวกเนื้อที่ละคำ ซึ่งชาบูของคนไทยดัดแปลงด้วยการเพิ่มเนื้อหมู เนื้อไก่ และวัตถุดิบแปรรูป เช่น เต้าหู้ ไส้กรอก ปูอัด เพื่อความหลากกลายและความสนุกในการรับประทาน แต่ทีเด็ดที่สุดของชาบู ยกให้เนื้อสไลซ์บางลงจุ่มน้ำซุปให้สุกพอดี ก่อนจะสัมผัสความนุ่มหวานของเนื้อและรสชาติของน้ำซุป เสิร์ฟเนื้ออัพราคาชาบู ร้านชาบูมีให้เลือกทั้งแบรนด์เล็ก แบรนด์ใหญ่ราคาตั้งแต่ 199 – 1,299 บาทขึ้นไป ขึ้นอยู่วัตถุดิบทั้งความหลากหลายและคุณภาพของวัตถุดิบ วัตถุดิบที่ใส่ลงในหม้อชาบูมีทั้งเนื้อสัตว์ ผัก และวัตถุดิบแปรรูป อาจจะมีคล้ายๆ กันในหลายๆ ร้าน แต่หากร้านไหนสามารถมีเนื้อสัตว์ให้เลือกหลายประเภท หลายชิ้นส่วน ก็ยิ่งจะเป็นจุดเด่น จุดขายให้กับร้านมากขึ้น หากร้านชาบูที่เสิร์ฟเนื้อด้วยแล้วก็จะยิ่งเป็นร้านที่น่าสนใจมากขึ้น แม้การเสิร์ฟเนื้อจะทำให้ต้นทุนสูงขึ้น แต่ลูกค้าพร้อมจ่ายมากขึ้นเช่นกัน การอัพราคานี้ของร้านชาบูสามารถทำได้หลายช่องทาง หากเป็นร้านบุฟเฟ่สามารถเล่นระดับราคาได้ เช่น บุฟเฟ่ธรรมดาที่เลือกรับประทานได้เฉพาะเนื้อหมูเนื้อไก่ ราคา 199 บาท บุฟเฟ่เพิ่มเนื้อวัวเป็นราคา 259 บาท หรือจะเป็นบุฟเฟ่ธรรมดา ราคา 199 บาท และสั่งเนื้อวัวเพิ่มเป็นอะลาคาร์ท A la carte) ก็ได้ สามารถเรียนรู้การตั้งราคาบุฟเฟ่เพิ่มเติมได้ในคอร์สเรียนออนไลน์ คอร์ส : เทคนิคการตั้งราคาอาหารแบบมืออาชีพ ชาบูจะอร่อย เนื้อต้องบาง เรื่องของความอร่อยจากเนื้อ ขึ้นอยู่กับขนาดที่เหมาะกับการนำไปทำอาหารด้วยเช่นกัน อย่างสเต็กต้องหั่นเนื้อให้หนาถึงจะอร่อย แต่ถ้าหากเป็นหมูจิ้มจุ่ม หรือชาบู ต้องเป็นเนื้อบางๆ เพราะตอนลวกลงไปในหม้อจะใช้เวลาไม่นาน จึงต้องสไลด์ให้บาง เพื่อเป็นการให้เนื้อสุกง่าย หากใช้เวลานานจะทำให้เนื้อแข็งกระด้าง คำว่า “ชาบูชาบู” มาจาก “ชาบุชาบุ” ซึ่งเป็นเสียงที่ชาวญี่ปุ่นบอกว่าเกิดขึ้นเมื่อเราใช้ตะเกียบคีบเนื้อลงจุ่มน้ำซุปแล้วแกว่งไปมาเบาๆ ให้น้ำซุปร้อนๆ ไหลผ่านเนื้อนั้นเอง และเคล็ดลับคือให้แกว่งเนื้อแค่ประมาณ 10 วินาที จะได้เนื้อที่สุกนุ่มพอดีและซึมซับรสชาติน้ำซุปไว้เต็มที่ เพราะฉะนั้นความบางของเนื้อก็จะต้องพอดีกับเวลาอันรวดเร็วในการสัมผัสน้ำซุปด้วยเช่นกัน ยกระดับเป็นชาบูพรี่เมี่ยมด้วยเนื้อนำเข้า เมื่อบรรยากาศร้านชาบูเหมาะกับการร่วมตัวของเพื่อน ครอบครัว ญาติพี่น้องแล้วล่ะก็ มื้ออาหารในวันรวมตัวคงเป็นมื้ออาหารที่พิเศษอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นหากร้านชาบูของคุณมีวัตถุดิบพิเศษอย่างเนื้อพรี่เมี่ยมก็ยิ่งเป็นจุดเป็นให้ลูกค้าเลือกที่จะเป็นมื้อพิเศษในโอกาสพิเศษอย่างแน่นอน นอกจากเสิร์ฟเนื้อในร้านชาบูแล้ว เพิ่มระดับความพรี่เมี่ยมของเนื้อให้ลูกค้าได้ลิ้นรสชาติที่พิเศษมากกว่ากับเนื้อวัวเมืองหนาว สายพันธุ์ดี นำเข้าจากประเทศออสเตรเลีย เนื้อสัมผัสที่นุ่มจากไขมันแทรก ที่สำคัญผลิตจากโรงงานได้มาตราฐาน อีกทั้งสะดวกกับร้านชาบูเพราะสไลด์ด้วยความบางที่เท่ากัน เหมาะสมพอดีคำ ไม่เสียเวลาเสียพนักงานในการเตรียมวัตถุดิบ สามารถจัดเสิร์ฟตามออเดอร์ได้ทันที มีให้เลือกครบทุกชิ้นส่วนที่ เหมาะกับชาบูทั้ง สะโพกวัวออสเตรเลียสไลซ์แช่แข็ง น่องวัวออสเตรเลียสไลซ์แช่แข็ง ใบพายวัวออสเตรเลียสไลซ์แช่แข็ง เสือร้องไห้วัวออสเตรเลียสไลซ์แช่แข็ง พื้นท้องวัวออสเตรเลียสไลซ์แช่แข็ง สันคอวัวออสเตรเลียสไลซ์แช่แข็ง สามารถเลือกซื้อเนื้อวัวสไลด์สำหรับชาบูโดยเฉพาะ ได้ที่ Makro Click คลิกเลย เครดิต : th.openrice
Learn moreMHA จับมือทรูมันนี่ วอลเล็ท มอบสิทธิพิเศษเฉพาะสมาชิก MHA เท่านั้น คลิกเลย!
MHA จับมือ ทรูมันนี่ วอลเล็ท มอบสิทธิพิเศษเฉพาะสมาชิกแม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี ที่เป็นผู้ประกอบการร้านค้า มาพร้อม 3 แคมเปญดีๆ เพิ่มยอดขายให้ร้านคุณได้แล้ววันนี้ โปรเต็มแมกซ์ โปรดีๆ เพื่อผู้ประกอบการ ห้ามพลาด! คุ้มทุกการจ่าย ขายคล่องยอดปัง สิทธิพิเศษสำหรับสมาชิกแม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี รับ 3 สิทธิพิเศษดังนี้ ✅ ช้อปที่แม็คโคร หรือแม็คโครคลิก ด้วยทรูมันนี่ วอลเล็ท ขั้นต่ำ 3,000 บาท รับเงินคืน 50 บาท (จำกัด 1 สิทธิ์ / 1 ทรูมันนี่ วอลเล็ท/เลขสมาชิกเเม็คโคร) ✅ โปรโมทร้านให้ฟรี จากทรูมันนี่ วอลเล็ท ✅ คนขายได้ยอด คนซื้อได้ลด เมื่อแสกนจ่ายผ่าน QR TruePoint&Pay ด้วยทรูมันนี่ วอลเล็ท เงื่อนไขสำหรับผู้รับสิทธิ์ - ลูกค้าที่มีบัญชีทรูมันนี่ วอลเล็ท ซึ่งเป็นสมาชิกแม็คโคร และแม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี - ทำการลงทะเบียน 2 ต่อ ในแอปพลิเคชัน ทรูมันนี่ วอลเล็ท ภายในระยะเวลาแคมเปญ ต่อที่ 1 ลูกค้าผูกบัตรสมาชิกเเม็คโครในทรูมันนี่ วอลเล็ทแอปพลิเคชั่น ต่อที่ 2 ลูกค้ากลุ่มผู้ประกอบการ ผูกบัตรสมาชิกเเม็คโคร และทำการสมัครทรู สมารต์ เมอรชันต์ในทรูมันนี่ วอลเล็ทแอปพลิเคชั่น ระยะเวลาแคมเปญ 1 กุมภาพันธ์ - 30 เมษายน 2564 จ่ายน้อย อร่อยมาก สำหรับร้านค้าสมาชิก MHA คืนกำไรให้ลูกค้าใหม่ ซื้อปุ๊ป รับเงินคืนปั๊ป !! กับ MHA จ่ายน้อย อร่อยมาก เพิ่มโอกาสการขายด้วยโปรโมชั่น โดยมีเงื่อนไขดังนี้ ✅ ลูกค้าใหม่ที่สมัครและใช้จ่ายผ่านทรูมันนี่ วอลเล็ท ในระยะเวลาแคมเปญ รับเงินคืนทันที 20 บาท เมื่อซื้อสินค้าชนิดใดก็ได้ตั้งแต่ 100 บาท ขึ้นไป ✅ เฉพาะร้านค้าที่เป็นสมาชิกแม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี ที่รับชำระผ่าน QR True point&Pay และติดป้ายประชาสัมพันธ์แคมเปญ MHA จ่ายน้อย อร่อยมาก เท่านั้นที่ร่วมแคมเปญ ✅ จำกัด 1 สิทธิ์ ต่อ 1 หมายเลขบัตรประชาชน ตลอดระยะเวลาส่งเสริมการขาย ระยะเวลาแคมเปญ 16 กุมภาพันธ์ - 30 เมษายน 2564 เห็นสื่อประชาสัมพันธ์ MHA จ่ายน้อย อร่อยมาก อย่าพลาดที่จะไปใช้บริการนะครับ ทรูมันนี่ วอลเล็ท อาสารีวิวให้ร้านคุณฟรี! ผู้ประกอบการมีเฮ! เมื่อทรูมันนี่ วอลเล็ท อาสารีวิวให้ร้านคุณฟรี! เพียงส่งลิสต์เมนูเด็ด พร้อมรูปภาพอาหารหรือเครื่องดื่มปังๆ และข้อความโปรโมทแบบจัดเต็ม เพิ่มช่องทางบอกต่อความอร่อยของร้านคุณได้แล้ววันนี้! เงื่อนไขผู้สมัคร ✅ เป็นร้านค้า ทรู สมาร์ต เมอร์ชันต์ ที่ผ่านการอนุมัติจากบริษัท ✅ เฉพาะร้านค้าที่จำหน่ายสินค้าประเภทอาหาร หรือเครื่องดื่มเท่านั้น ✅ สมาชิกแม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี จะได้รับสิทธิพิเศษในการคัดเลือกเฉพาะภายในกลุ่มเดียวกัน ซึ่งเพิ่มโอกาสให้ร้านค้าถูกรับเลือกโปรโมท กติกาในการร่วมกิจกรรม ✅ ร้านค้า ทรู สมาร์ต เมอร์ชันต์ ที่สนใจเข้าร่วมจะต้องให้ข้อมูลการฝากร้านที่ครบถ้วน น่าสนใจ และตรงตามความเป็นจริง รวมถึงรูปภาพที่มีความละเอียด คมชัด สวยงาม และเป็นภาพที่ทางร้านถ่ายขึ้นเอง มิได้ไปละเมิดลิขสิทธิ์ภาพถ่ายของผู้ใด ✅ ยินยอมให้ทรูมันนี่ ใช้ข้อความ ภาพถ่าย และข้อมูลต่างๆ ที่ผู้เข้าร่วมโครงการส่งมาเพื่อประโยชน์ในการประชาสัมพันธ์ได้ ✅ จำกัดสิทธิในการเข้าร่วมโครงการ 1 สิทธิ์ต่อหนึ่งร้านค้า ตลอดระยะเวลาโครงการ 16 พฤศจิกายน 2563 ถึง วันที่ 15 เมษายน 2564 ร้านค้าที่ผ่านการคัดเลือกทั้ง 2 กลุ่ม จะได้รับการประชาสัมพันธ์ ผ่านทางเว็บไซต์และโซเชียลมีเดียของทรูมันนี่ อยากเพิ่มยอดขายห้ามพลาด เพราะของอร่อย โลกต้องรู้! อย่าลืมมาร่วมกิจกรรมกันนะครับ อยากได้รับสิทธิพิเศษ แต่ไม่ได้เป็นสมาชิกแม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี สมัครตอนนี้ได้เลย! สำหรับท่านใดที่ยังไม่เป็นสมาชิกแม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี สามารถสมัครฟรี! คลิก เพียงกรอกข้อมูลครบ ก็เป็นสมาชิกได้ทันที
Learn moreสมัครสมาชิกแม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี ฟรี 4 ต่อ!
อยากให้ร้านขายดี! มีกำไร ทำอย่างไรให้ร้านเป็นที่รู้จัก สมัครเป็นสมาชิก แม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี ฟรี! คลิก พร้อมรับสิทธิ์เรียนคอร์สออนไลน์ทันที เรียนรู้วิธีพลิกยอดขายให้ร้านคุณปังและดังได้ *สำหรับท่านที่ไม่มีหมายเลขสมาชิกแม็คโคร สามารถสมัครฟรีทุกสาขาใกล้บ้านของท่าน **ชื่อล็อคอินต้องกรอกเป็นภาษาอังกฤษหรือตัวเลขเท่านั้น ***เมื่อสมัครเรียบร้อย กรุณาออกจากระบบ และล็อคอินอีกครั้งเพื่อเข้าเรียน ดูคอร์สเรียนออนไลน์ฟรีทั้งหมด คลิก ติดขัดปัญหาในการสมัคร สามารถสอบถามได้ที่ Facebook : แม็คโครโฮเรก้าอคาเดมี
Learn moreผนังร้านอย่าปล่อยว่าง! กระตุ้นการสั่งด้วย "รูปอาหาร" เพิ่มยอดขายได้
ผนังร้านอย่าปล่อยว่าง! กระตุ้นการสั่งด้วย "รูปอาหาร" เพิ่มยอดขายได้ การตกแต่งร้านเป็นปัจจัยหนึ่งในการทำให้ร้านน่าสนใจ ปกติแต่ละร้านจะเน้นการตกแต่งแบบมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ด้วยการใช้สี ใช้การวางอุปกรณ์ประดับตกแต่ง หรือนำรูปภาพมาแขวน เพื่อความสวยงามตามแนวการตกแต่งที่ชื่นชอบ วันนี้ MHA จะมาแนะนำการแต่งร้านแบบเน้นการขาย กระตุ้นการสั่ง โดยเฉพาะร้านอาหารเปิดใหม่ ยังไม่มีไอเดียว่าจะแต่งร้านแบบไหนดี ถ้าผนังกำแพงร้านที่ยังว่างอยู่ อย่าปล่อยให้ผนังร้านว่างเปล่า ลองมาตกแต่งผนังร้านด้วยรูปอาหาร หรือรูปเมนูต่างๆ ของร้านกันดีกว่า เพราะแม้แต่ร้านเล็กพื้นที่แคบ ก็ยังมีพื้นที่แนวตั้งอย่างผนังร้านให้ตกแต่งได้เช่นกัน ข้อดีของการแต่งร้านด้วยรูปอาหาร ตามหลักจิตวิทยาการขายอาหาร ภาพอาหารมีผลต่อการกระตุ้นความอยากอาหารของลูกค้าได้มาก และทำให้ความอยากอาหารเพิ่มขึ้นด้วย ดังนั้นร้านอาหารจึงมักจะมีภาพอาหารให้ลูกค้าเห็นได้อย่างชัดเจน และจะให้ผลดีมากถ้ามีภาพอาหารให้เห็นได้ตั้งแต่ก่อนเข้าร้าน หรือเข้าร้านมาแล้วเจอรูปเมนูอาหารที่น่ากินทันที เช่น รูปขนมจีบและซาลาเปาขนาดใหญ่ ในร้านติ่มซำ เป็นต้น ภาพอาหารช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจเลือกเมนูอาหารได้เร็วขึ้นหลายร้านคงเคยประสบปัญหาเวลาที่ลูกค้าเข้ามาในร้านแล้วไม่รู้ว่าจะสั่งอะไรดี แม้จะได้ดูเมนูแล้วก็ตาม โดยเฉพาะเมนูที่ไม่มีรูป เพราะลูกค้าต้องอาศัยการถามรายละเอียดของเมนูจากพนักงานในร้าน และต้องจินตนาการเอาเองว่าเมนูไหนน่ากินอย่างไร จากการสำรวจพบว่าการมีรูปถ่ายเมนูอาหารจะช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจเลือกเมนูได้เร็วขึ้น และจะเร็วยิ่งขึ้นไปอีกถ้ามีรูปเมนูอาหารขนาดใหญ่เห็นได้ชัดเจนไม่ว่าบนโต๊ะอาหารหรือบนผนังของร้าน อยากมีรูปอาหารสวย ๆ ไว้โปรโมทเมนูใหม่ เมนูยอดฮิต เมนูซิกเนเจอร์ แม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี จะทำให้เจ้าของร้านอาหารทุกท่านสามารถถ่ายรูปอาหารในร้านให้สวย น่ากิน และยั่วน้ำลายลูกค้า ได้ด้วยมือถือ ที่มีอยู่ในมือตอนนี้ ! เรียนรู้การถ่ายภาพอาหาร “ให้เพิ่มมูลค่า และ น่ากิน” สนใจลงทะเบียนเรียนฟรี คลิก 3. กระตุ้นการสั่งเมนูเด่นของร้านตามหลักจิตวิทยาลูกค้าจะเข้าใจได้ทันทีว่าเมนูที่ขึ้นรูปบนผนังร้านคือเมนูที่ร้านแนะนำให้เราสั่ง ดังนั้นสำหรับร้านอาหารที่เปิดใหม่ ถ้าอยากดันเมนูไหนให้ลูกคาสั่ง ก็ให้ลองเอารูปเมนูนั้นมาติดผนังดู เพิ่มเทคนิคการขายเข้าไปอีกนิด คือ เมนูนั้นควรเป็นเมนูที่เราได้กำไรดีด้วย 4. ช่วยให้สั่งอาหารมากขึ้นกว่าเดิม ธรรมชาติการตัดสินใจเลือกเมนูของลูกค้า มักจะเริ่มจาก “จะกินอะไรดี” เมื่อได้เมนูหลักแล้วจึงนึกต่อไปว่า “จะสั่งอะไรอีก” แต่ถ้ามีภาพเมนูอาหารเป็นชุด หรือมีภาพอาหารหลายเมนูประกอบกัน นอกจะจะช่วยให้ลูกค้านึกออกว่าจะสั่งเมนูอะไรแล้ว ยังทำให้ลูกค้ารู้สึกอยากสั่งเมนูอื่นๆเพิ่มขึ้นด้วย จากการสอบถามพบว่า หลายครั้งเมื่อลูกค้าได้เห็นภาพอาหารหลากหลายเมนูที่น่ากินก็มักจะเลือกไม่ถูกหรือเกิดอาการ “เมนูนี้น่ากิน เมนูนั้นก็น่ากิน” และลงท้ายด้วยการสั่งเมนูอื่นที่น่ากินเพิ่มขึ้นอีก เป็นการเพิ่มยอดขายต่อโต๊ะได้ดีทีเดียว แล้วจะติดรูปอาหารบนผนังร้านอย่างไรดี เมนูชูโรงประจำร้าน เลือกเมนูประจำร้านมา 3-4 เมนู จากนั้นทำภาพให้มีขนาดใหญ่ ระบุชื่อให้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นโปสเตอร์ หรือทำกรอบเพื่อแขวนไว้ในจุดที่ลูกค้ามองเห็นได้ง่ายจากโต๊ะอาหารของตัวเอง จำไว้ว่าผนังของร้านไม่ได้มีเฉพาะแนวกว้างเท่านั้น เราสามารถแขวนภาพบนผนังที่สูงขึ้นไปได้อีก แต่ควรเว้นระยะให้ห่างจากเพดานประมาณ 1-2 เมตร และเว้นระยะจากพื้นประมาณ 1.5 เมตร เพราะเป็นระยะสายตาที่จะมองเห็นได้ง่ายเวลาลูกค้านั่งที่โต๊ะแล้ว บริเวณที่ควรติดคือผนังโล่ง ที่ไม่ห่างโต๊ะ และไม่มีสิ่งอื่นมาดึงดูดสายตาลูกค้าจากภาพเมนูนั้นๆ ติดได้ทั้งเมนูแนะนำ - เมนูเสริม นอกจากเมนูชูโรงแล้ว เมนูอื่นๆก็สามารถนำมาติดที่ผนังได้เช่นกัน ควรเลือกเมนูที่กินคู่กันได้กับเมนูชูโรง หรือควรสั่งร่วมกัน เช่น ร้านสเต๊ก นอกจากมีรูปสเต๊กต่างๆ แล้ว ควรมีรูปเมนูสลัด เฟรนช์ฟรายส์ หรือหอมทอด อยู่ใกล้เคียงกับรูปเมนูเสต๊กด้วย หรือถ้าจะจัดชุดเมนู ให้ลองทำเป็นโปสเตอร์อาหารชุดไปเลยก็ได้ เช่น ทำเป็นโปสเตอร์เมนูชุดอาหารกลางวัน ข้าว น้ำแกง ขนม อยู่ในโปสเตอร์ 1 ใบ ชุดครอบครัว ประกอบด้วยน้ำแกง เนื้อสัตว์ ผัดผัก และผลไม้ อยู่ในโปสเตอร์อีก 1 ใบ แล้วติดบนผนังร้านใกล้กัน 3. ดูขนาดรูปให้เหมาะสม ขนาดรูปที่บอกไปเลยว่านี่คือเมนูเด่นประจำน้านที่ควรสั่ง หรือนี่คือเมนูแนะนำที่ควรสั่งเพิ่มเติม แน่นอนว่าเมนูชูโรงจะต้องใช้ภาพใหญ่ที่สุด จากนั้นเป็นเมนูเสริมต่างๆ ให้มีขนาดรองลงมาก็ได้ ประมาณ 70% ของภาพใหญ่ และเมนูอื่นๆทั่วไป ลดขนาดลงมา 50% ก็ได้ ในทางการออกแบบเราเรียกกันว่า การกำหนดความสำคัญโดยการใช้ขนาดของภาพ ซึ่งลูกค้าจะรู้สึกได้ทันที่ที่เห็นภาพ เช่น ร้านอาหารทะเล ที่มักนำรูปเมนูกุ้งเผา ปลาสามรส ต้มยำ แขวนติดผนังเป็นรูปขนาดใหญ่เพราะเป็นเมนูที่แนะนำให้ลูกค้าสั่ง และมีรูปเมนูผัดผัก ยำต่างๆ ที่เล็กกว่า เป็นต้น 4. เมนูอื่นในร้าน ไม่ว่าจะเป็น อาหารทานเล่น ขนมหวาน หรือเมนูเครื่องดื่ม ช่วยเพิ่มยอดขายต่อโต๊ะได้ดี ทำเป็นภาพเล็กๆ ประมาณ 10*10 เซนติเมตร แล้ววางเรียงกันดูเหมือนตกแต่งกำแพงดูก็ไม่เลวเหมือนกัน หรือจัดหมวดเป็นของทานเล่น ของหวาน ไว้มุมหนึ่งของกำแพงก็เป็นไอเดียที่ดี 5. รูปอาหารกับการตกแต่งร้านสามารถออกแบบไปในแนวทางเดียวกันได้ เชื่อว่าหลายร้านคงมีแนวการออกแบบเป็นของร้านตนเอง และกลัวว่าจะถ้าเอารูปอาหารมาติดที่ผนังแล้วจะเสียคอนเซปต์ของร้านไป ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง เพราะไม่ว่าแนวการออกแบบร้านแบบใด เราสามารถสร้างภาพถ่ายให้ออกมาเป็นแนวเดียวกันได้ และถ้ามีการจัดวางที่ดี ภาพอาหารเหล่านี้จะช่วยให้ร้านมีความโดดเด่นขึ้นมาได้อีกมาก 6. ออกแบบภาพอาหารให้เป็นงานศิลปะก็ได้เช่นกัน หากมีทุนในการตกแต่งร้านมากหน่อยและมีพื้นที่กว้างพอ ลองทำผนังด้านหนึ่งให้เป็นเมนูอาหารของร้านไปเลยก็ได้ โดยการถ่ายภาพอาหารหลายเมนู แล้วนำมาจัดเรียงให้สวยงาม ผนังร้านเราก็จะเหมือนเป็นงานศิลปะชิ้นหนึ่งได้เลย ลองหาไอเดียตกแต่งร้านเพิ่มเติมได้ที่ Pinterest ไม่ว่าพื้นที่ของร้านจะเล็กหรือใหญ่ แต่ทุกพื้นที่ในร้านก็สามารถตกแต่งให้เพิ่มยอดขายได้ นอกจากนี้ยังมีเทคนิคพัฒนาเมนูขายดี กำไรดี ให้อยู่คู่ร้านไปนาน ๆ ด้วยคอร์สเรียนออนไลน์ฟรี! พัฒนาเมนูอย่างไร ให้ยอดขายเพิ่ม กำไรพุ่ง! มาวิเคราะห์หาเมนูที่ควรตัดทิ้ง แล้วสร้างเมนูใหม่ให้โดนใจกว่าเดิม ทั้งขายดีขึ้น และมีกำไรเพิ่มขึ้น คุณเองก็ทำได้ สนใจลงทะเบียนเรียนฟรี คลิก คลิกอ่านบทความเพิ่มเติม อัพเดทเทรนด์ Tiktok ปี 2021 ที่ผู้ประกอบการต้องรู้ จับมาใช้ ขายดีแน่ ร้านขายดี เพราะยิงโฆษณาแบบนี้นี่เอง! เหมาะกับร้านขนาดเล็ก หรืองบน้อยก็ปังได้ ทำ Content อาหารอย่างไรให้น่ากิน เล่าเรื่องร้านอย่างไร ให้ขายดี 5 ลูกเล่น “Robinhood” ดีต่อธุรกิจ ที่เจ้าของร้านอาหารต้องรู้ เปิดเพจร้านแต่ไม่รู้จะโพสอะไรดี?
Learn moreเทียบ 5 แอปส่งอาหาร ขายผ่านออนไลน์ ค่ายไหนเหมาะกับร้านเรา
วันนี้ MHA จะมาเปรียบเทียบแอปสั่งอาหารออนไลน์ 5 แอปดัง Grab Food, foodpanda, Robinhood, LINE MAN และ Gojekในประเด็นต่างๆ ที่เจ้าของร้านอาหารควรรู้ก่อนเลือกใช้บริการ เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจว่าจะเลือกใช้แอปใดดี หรือต้องมีทั้งหมด ในยุคที่การสั่งอาหารออนไลน์เป็นเรื่องที่ทุกร้านจำเป็นต้องมี เริ่มจากข้อมูลสำคัญของแต่ละแอปที่ร้านค้าจำเป็นต้องรู้กันซะก่อน Grab Food : เบอร์ 1 ในวงการเดลิเวอรี่ไทย มีผู้ใช้งานประมาณ 2 ล้านคน คนขับส่งของประมาณ 100,000 คน ไม่มีค่าแรกเข้าและค่าสมัคร คิดค่าคอมมิชชัน 35% (ก่อน VAT 7%) ของรายการอาหารที่ถูกสั่งผ่าน Grab ในระยะเวลาสัญญา 12 เดือน (นับจากวันที่ลงชื่อเอกสารสัญญา) ร้านค้าต้องเตรียมมือถือหรือแท็บเลตระบบ Android เท่านั้น (ไม่รองรับเครื่อง Huawei ที่ลงแอป Google Play ไม่ได้) ใช้อีเมลที่เป็น @gmail เพื่อดาวน์โหลดและลงทะเบียนเข้าแอป GrabMerchant เพื่อรับคำสั่งซื้อ รูปภาพอาหารต้องไม่ใช้ซ้ำกับเว็บไซต์อาหารอื่น ร้านค้าจะได้รับยอดขายสุทธิหลังหักค่าบริการต่างๆ ในวันถัดไป ร้านค้าจะต้องมีบัญชีธนาคารกสิกรไทย (Kbank) หรือ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (Krungsi) เท่านั้น สามารถศึกษาขั้นตอนและวิธีการใช้งานได้ที่นี่ คลิก Foodpanda : มาแรง ขยายตัวเร็วมาก มุ่งสู่ร้านค้าท้องถิ่น มีผู้ใช้งานประมาณ 7 ล้านคน คนขับส่งของประมาณ 100,000 คน มีค่าแรกเข้า 399 บาท และค่าบริการรายเดือน 99 บาท ในการสมัคร มีนโยบายการันตีราคา ร้านค้าจึงไม่สามารถเพิ่มราคาจากราคาปกติที่ลูกค้ารับประทานที่ร้านได้ คิดค่าคอมมิชชัน 32% จากมูลค่าของออเดอร์ทั้งหมดที่สั่งผ่าน Foodpanda และจะถูกหัก VAT 7% (สำหรับออเดอร์ที่ชำระบัตรเครคิต จะละเว้นค่าธรรมเนียม 3%) ร้านค้าจะได้รับแท็บเล็ต โดยร้านค้าสามารถเปิด/ปิดร้านอาหาร ตรวจสอบยอดขายได้ด้วยตนเองผ่านทางแท็บเล็ต และยังสามารถส่งข้อความติดต่อกับทาง foodpanda ได้โดยตรงเมื่อท่านพบปัญหาหรือต้องการแก้ไขข้อมูลเกี่ยวกับร้านค้า ได้รับ Gift Voucher ส่วนลด 50 บาท จำนวน 100 ใบ สำหรับนำไปแจกให้กับลูกค้าของทางร้านเพื่อเป็นการโปรโมทร้านค้า ใช้ได้ทุกธนาคาร แนะนำ ธ.ไทยพาณิชย์ เพราะถ้าเป็นธนาคารอื่นจะได้รับเงิน 1-2 วันหลังจากวันที่จ่ายเงิน สามารถศึกษาขั้นตอนและวิธีการใช้งานได้ที่นี่ คลิก Robinhood : แอปไทย เพื่อคนไทย ไม่เสียค่าธรรมเนียมการใช้แพลตฟอร์ม ใช้ได้ทั้งระบบ iOS และ Android จะเก็บเฉพาะค่า LS แค่ 8% เท่านั้น (LS คือส่วนลดค่าส่งอาหารจากร้านค้าที่ Robinhood จะส่งต่อให้ลูกค้า 100% และนำไปเป็นส่วนลดโดยตรงให้กับลูกค้าในออเดอร์นั้นๆ) ต้องมีบัญชี SCB ออมทรัพย์หรือเงินสะพัด และมี SCB Easy App ร้านค้าได้รับเงินเร็วภายใน 1 ชั่วโมง หลังจากมีการชำระค่าอาหาร เจ้าของร้านเข้าถึงสินเชื่อของธนาคารเพื่อขยายธุรกิจได้ง่ายขึ้น สามารถศึกษาขั้นตอนและวิธีการใช้งานได้ที่นี่ คลิก LINE MAN : พันธมิตร “วงใน” ได้เปรียบเรื่องรีวิว และแยกหมวดหมู่อาหารชัดเจน ไม่มีค่าใช้จ่ายในการสมัครและการให้บริการ ร้านค้าไม่ถูกหักเปอร์เซ็นใดๆ จาก LINE MAN โดยคิดค่าส่งตามระยะทางในอัตราปกติ ค่าส่งเริ่มต้นที่ 55 บาท หากร้านเข้าร่วม LINE MAN GP ค่าส่งเริ่มต้น 0 บาท ร้านจะได้รับค่าส่งอาหารที่ถูกกว่า และได้รับการโปรโมทพิเศษ เพื่อช่วยให้ร้านได้รับออเดอร์ (Order) และดันยอดขายมากขึ้นกว่าเดิม LINE MAN GP จะหัก 30% (ยังไม่รวม VAT) ร้านที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการค่าส่ง 0 บาท จะได้รับเงินสดจากไรเดอร์ ส่วนร้านที่เข้าร่วมโครงการค่าส่ง 0 บาท (LINE MAN GP) จะไม่ต้องรับเงินสดจากไรเดอร์ ระบบโอนเงินให้ร้านค้าในวันถัดไป เมื่อยอดรวมหลังหักค่า GP และ VAT ครบ 500 บาท ยอดขาย ต้องมียอดเงินสะสมหลังหัก GP และ VAT ถึง 500 บาท LINE MAN ถึงจะโอนเงินเข้า บช.ให้ในวันถัดไป จะมีการสรุปยอดและโอนเงินทั้งหมดที่อยู่ใน Wallet ให้ร้านค้าทุกวันที่ 1 ของเดือนถัดไป ร้านไม่ต้องชำระค่า GP เพิ่มเติม เนื่องจากระบบจะคำนวณค่า GP และ VAT และหักออกจากยอดขายของร้าน ก่อนโอนเข้า บช.ให้ร้าน เมื่อมียอดครบ 500 บาท ใช้บัญชีได้ทุกธนาคาร ยกเว้น ธนาคารที่มีเลขบัญชีเกิน 13 หลัก (เช่น ธอส.,ธกส.,ธนาคารออมสิน,ธนาคารเกียรตินาคิน,ธนาคารดอยซ์แบงก์) พื้นที่ให้บริการ 77 จังหวัดทั่วประเทศไทย Gojek : รีแบรนด์มาจาก Get เดิม การบริการของ gojek จะมีค่าคอมมิชชันที่ 30% (ไม่รวม VAT 7%) ร้านค้าจะต้องมีสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตในระบบ Android เพื่อใช้สำหรับแอปพลิเคชัน GoBiz ในการจัดการร้านค้า ทางร้านค้าจะได้รับรายงานยอดขายและรายงานยอดรับในแต่ละวันทางอีเมล ซึ่งประกอบไปด้วยรายงานจำนวนยอดขายรายวัน, รายรับที่ร้านค้าจะได้รับหลังหักค่าธรรมเนียม, รายละเอียดค่าบริการ ร้านค้าสามารถดาวน์โหลดรายงานการขาย โดยการกดที่ปุ่ม “ดาวน์โหลดรายงาน” รูปแบบรายงานจะอยู่ในรูปแบบไฟล์ Excel ใช้บัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ สามารถศึกษาขั้นตอนและวิธีใช้งานได้ที่นี่ คลิก แล้วจะสมัครแอปไหนดี? จากการสำรวจพบว่า แต่ละแอปมีกลุ่มลูกค้าที่ต่างกัน รวมถึงมีจุดเด่น-จุดอ่อนที่ต่างกันด้วย ดูจากข้อมูลเราจะพบว่า Foodpanda ครอบคลุมต่างจังหวัดมากที่สุด รองลงมาคือ Grab food ในขณะที่ Robinhood ยังคงน่าสนใจเพราะไม่มีการเรียกเก็บค่าบริการจากร้านค้า และยังเป็นแอปที่จ่ายเงินให้ร้านค้าไวที่สุด ถ้าเป็นไปได้ MHA แนะนำว่า ควรมีไว้ทั้ง 5 แอป เพราะยอดสั่งของแต่ละแอปมีพอๆกัน โดยขึ้นอยู่กับโปรโมชั่นส่งฟรีหรือลดราคาค่าจัดส่งในช่วงนั้น ถ้าร้านอยู่ต่างจังหวัดขอแนะนำให้ใช้ Food Panda เป็นหลักในขณะที่ LINE MAN และ Grab Food จะเหมาะกับพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑลมากกว่า แต่ถ้าร้านเปิดใหม่ ยังไม่มีกำไรมากนัก ให้ลองสมัคร Robinhood หรือ Line Man ดูก่อนเพราะยังไม่เก็บค่า GP หรือค่าธรรมเนียม แต่ถ้าอยากได้ลูกค้าที่ไกลขึ้น ให้ลองสมัคร LINE MAN GP จะช่วยได้มากเช่นกัน คลิกอ่านบทความเพิ่มเติม นำร้านอาหารเข้า Delivery คุ้มค่า GP หรือไม่? ขายผ่าน App Food Delivery หรือขี่มอเตอร์ไซต์ส่งเอง แบบไหนดีกว่ากัน? ต่อยอด Food Delivery เอาดีๆ รวยได้! ( https://makrohorecaacademy.com/food-delivery-boxset/ ต้นทุนแฝงและปัญหาที่ตามมาเมื่อเข้าระบบ Delivery ถ้าไม่รู้ร้านพัง! 5 ลูกเล่น “Robinhood” ดีต่อธุรกิจ ที่เจ้าของร้านอาหารต้องรู้
Learn moreอบรมหลักสูตรการจัดการร้านอาหาร ทางรอดในยุค New Normal ฟรี! : แม็คโคร X กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์
อยากพัฒนาร้านแบบสมาร์ท ครบทุกศักยภาพ จากผู้เชี่ยวชาญฟรี! แม็คโคร X กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ จัดอบรมหลักสูตรการจัดการร้านอาหาร ทางรอดในยุค New Normal ลงทะเบียนเข้าร่วมงานฟรี คลิก หัวข้อในงานสัมมนา กลยุทธ์ความสำเร็จร้านอาหารด้วย Food Delivery • คุณณัฎฐินี ปลอดทอง : Business manager Food Service • คุณวินิจ ลิ้มเจริญ : CEO & Founder บริษัท วีเชฟ ประเทศไทย • คุณวัชรพงษ์ พจนีย์นนท์ :ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่าย Payment Solution and Development ธนาคารไทยพาณิชย์ การสร้างระบบเพื่อขยายธุรกิจเฟรนไชส์ • คุณเศรษฐพงศ์ ผดุงพิสุทธิ์ : กรรมการผู้จัดการบริษัท จีโนซิส จำกัดที่ปรึกษาธุรกิจร้านอาหารและแฟรนไชส์ การคำนวณต้นทุนอาหารและการควบคุมการสูญเสียของวัตถุดิบ • คุณพรชัย นิตย์เมธาวงศ์ : Brand Manager ร้าน King Kong Yakiniku และ Co-Founder เพจ เพื่อนแท้ร้านอาหาร การบัญชีและภาษี สำหรับธุรกิจร้านอาหาร • คุณธนัย นพคุณ : Course Director of Flow Account Digital Marketing Online ด้วย Facebook • คุณธัญญ์นิธิ อภิชัยโชติรัตน์ : CEO บริษัท สมอลเวิลด์ ฟอร์คิดส์ จำกัด Digital Marketing Online ด้วย Line • คุณกิติชัย ปรีน้อย : กรรมการผู้จัดการบริษัท โปร สเต็ปส์ 2020 จำกัด การถ่ายภาพอาหารด้วยมือถือ • คุณกษิดิส ฌาน : เจ้าของเพจ สอนถ่ายภาพอาหารด้วยมือถือ กษิดิสสตูดิโอ การออกแบบห้องครัว และการจัดการวัตถุดิบ • เชฟวิลเมนต์ ลีออง : Founder & Chairman Thailand Culinary Academy คุณสมบัติผู้เข้าอบรม 1. เป็นธุรกิจร้านอาหารเท่านั้น 2. สามารถเข้าร่วมอบรมได้ตลอดหลักสูตร 6 วัน 3. ต้องนำคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คส่วนตัว และสัญญาณ wifi-hotspot มาในวันอบรมหลักสูตร Online Marketing หมายเหตุ :วันที่ 15 มีนาคม 64 ห้องบุรฉัตรไชยากร ชั้น 4 สำนักงานปลัดกระทรวง เปิดรับสมัครทั้ง 2 รุ่นตั้งแต่วันนี้! จนกว่าจะเต็ม รุ่นที่ 1 : วันที่ 15, 16, 22, 23, 29, 30 มี.ค. 64 รุ่นที่ 2 : วันที่ 21, 22, 28, 29 เม.ย. และ 5,6 พ.ค. 64 สถานที่ ศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาธุรกิจการค้า ชั้น 6 กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ลงทะเบียนเข้าร่วมงาน คลิก ทางทีมงานจะทำการตรวจสอบข้อมูลคัดเลือกผู้ที่ผ่านเกณฑ์ และจะแจ้งผลให้ท่านทราบ รุ่นที่ 1 แจ้งผลวันที่ 10 มีนาคม 2564 รุ่นที่ 2แจ้งผลวันที่ 9 เมษายน 2564 #MakroHoReCaAcademy #คู่คิดธุรกิจอาหาร #รู้ไว้ไม่มีเจ๊ง #Makro #ธุรกิจร้านอาหาร #MHA #กรมพัฒนาธุรกิจการค้า #กระทรวงพาณิชย์ #DBD #MOC #หลักสูตรการจัดการร้านอาหาร
Learn more"ซดเตี๋ยวเป็ดพะโล้" ก๋วยเตี๋ยวเป็ดริมทาง พลิกชีวิตสู่แชมป์ Street Food ระดับประเทศ!
ก๋วยเตี๋ยว เป็นเมนูง่ายๆ ซึ่งมีทั้งความหลากหลาย และได้รับความนิยมตลอดกาล ทั้งยังมีขายอยู่ทั่วไป แต่การจะขายก๋วยเตี๋ยวอย่าง ‘มืออาชีพ’ นั้นต้องมีวิธีคิดอย่างไร จึงจะทำให้กิจการนั้น ‘เป็นระบบ’ มีมาตรฐานและเติบโตขึ้นได้วันนี้เราจะพาไปส่องวิธีคิด ของร้านก๋วยเตี๋ยวระดับแชมป์ และเปิดทุกซอกมุมบน Food Truck ของ ‘ซดเตี๋ยวเป็ดพะโล้’ ผู้ชนะเลิศจากการแข่งขัน ‘GSB Street Food เปลี่ยนชีวิต’ (กล้าคิด ชีวิตเปลี่ยน)ซึ่งจัดโดยธนาคารออมสิน และเพิ่งนำประสบการณ์ที่ได้มาอัพเกรดสร้างสรรค์ Food Truck คันใหม่ให้มีฟังก์ชั่นสุดล้ำ ตอบโจทย์การทำงาน ยังความก้าวหน้าให้กับกิจการได้อย่างน่าทึ่ง อัพเลเวล Street Food กิจการครอบครัว กว่า 40 ปี เปิดทุกซอกมุม Food Truck ระดับแชมป์ คิดให้นิ่งก่อนว่าจะขายอะไร แล้วออกแบบแปลนที่เหมาะสม มาตรฐานระดับ ‘มืออาชีพ’ ออกแบบการทำงานให้เป็น Flow เดียว ออกแบบระบบมาดีจนปัง ยังไม่ทันเปิดขายแฟรนไชส์ก็มีคนติดต่อเข้ามาเยอะมาก คุณสุรเดช สมเสงี่ยม เจ้าของร้านซดเตี๋ยวเป็ดพะโล้ ผู้ยกระดับให้แบรนด์ก๋วยเตี๋ยวแห่งเมืองย่าโมนี้มีชื่อเสียง เล่าถึงเรื่องราวแห่งความสำเร็จของซดเตี๋ยวเป็ดพะโล้ ให้เราได้ฟัง ดังนี้ อัพเลเวล Street Food กิจการครอบครัว กว่า 40 ปีตระกูลของคุณสุรเดชเริ่มทำธุรกิจขายก๋วยเตี๋ยวมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ โดยตัวเขาเองนั้นเป็นรุ่นที่ 3 ซึ่งสืบสานตำนานมาตั้งแต่สมัยที่ยังไม่มีชื่อร้านด้วยซ้ำ เมื่อชายหนุ่มมารับช่วงต่อจึงตั้งชื่อร้านว่า ‘ซดเตี๋ยว’ เพราะเป็นชื่อที่เรียกง่ายและติดหู “แต่ก่อนกิจการของเราก็ไม่ต่างจากสตรีทฟู้ดทั่วไป ที่ขายกันตามท้องถนน เรื่องของระบบการจัดการก็ไม่ได้มีอะไรเลย ผมก็อาศัยทำตามที่คุณพ่อคุณแม่สอนมาแค่นั้น จนเมื่อได้มีโอกาสไปแข่งขันรายการ GSB Street Food และพบกับพี่ธามม์ ประวัติตรี (นักธุรกิจ และวิทยากรผู้มีความเชี่ยวชาญด้านการบริหารและจัดการธุรกิจอาหาร) ซึ่งสอนให้ผมมีวิธีคิด และระบบการจัดการร้านได้ดีกว่าเดิมมากครับ มันทำให้ผมเห็นถึงความสำคัญของระบบและมาตรฐานที่ดี ซึ่งจะช่วยให้กิจการเราก้าวหน้าขึ้นได้ครับ” เปิดทุกซอกมุม Food Truck ระดับแชมป์ความจริงแล้ว ก่อนที่จะมี Food Truck ขายก๋วยเตี๋ยวคันล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวไปได้ไม่นานคันนี้ ซดเตี๋ยวฯ เคยมี ทรัคคันก่อนหน้า “คือตอนแรกที่ผมตัดสินใจจะทำก๋วยเตี๋ยวเป็ดตุ๋น เราสังเกตเห็นถึงความนิยมของฟู้ดทรัคและข้อดีของการที่จะนำไปจอดที่ไหนก็ได้ จึงได้ทำทรัคคันแรกออกมาก่อน แต่ตอนนั้นต้องบอกว่ายังไม่มีความรู้สักเท่าไหร่ สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างรถคันแรกกับคันล่าสุดนี้จึงมีอยู่เยอะ อย่างที่สำคัญก็คือเรื่องมาตรฐานความสะอาดของกระทรวงสาธารณสุขซึ่งต้องมีในร้านอาหาร อย่างซิงค์ล้างมือ ซึ่งรถคันเก่าผมไม่มี แต่คันที่ทำใหม่นี้มี ซึ่งทีแรกที่ทำก็ออกแบบตามความถนัดตามความเข้าใจของเราในขณะนั้น จึงยังไม่ค่อยได้มาตรฐานสักเท่าไหร่” คิดให้นิ่งก่อนว่าจะขายอะไร แล้วออกแบบแปลนที่เหมาะสม เช่นเดียวกับผู้ประกอบการที่ต้องค่อยๆ สั่งสมประสบการณ์ลองผิดลองถูกจนตกผลึก หลังจากแข่งขันรายการ GSB Street Food และได้ที่ปรึกษามือดีอย่างคุณธามม์ คุณสุรเดชจึงนำวิธีคิดที่ได้เรียนรู้มาปรับปรุงการดำเนินงานต่างๆ รวมถึงการทำฟู้ดทรัคคันใหม่ โดยเริ่มตั้งแต่การออกแบบเขียนผังก่อนที่จะผลิตรถขึ้นจริง “มันต้องเริ่มจากการคิดให้จบก่อนว่าเราจะขายอาหารอะไรบ้างอย่างคันเก่าเนี่ยเราจะขายแต่ก๋วยเตี๋ยว แต่พอวันหนึ่งอยากขายอย่างอื่นเพิ่มขึ้นมา ก็ไม่สามารถนำไปวางบนรถได้ เพราะไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อการนั้น คราวนี้ตัวรถคันใหม่นี่ผมลิสต์ออกมาหมดเลยว่า จะขายทั้งก๋วยเตี๋ยวเป็ด ก๋วยเตี๋ยวไก่ ก๋วยเตี๋ยวเนื้อ ก๋วยเตี๋ยวซี่โครง กะเพราเนื้อ กะเพราไก่ กะเพราซี่โครง กะเพราเป็ดตุ๋น พอได้ลิสต์อาหารทั้งหมดออกมาแล้ว ก็ออกแบบแผนผังว่าอะไรจะอยู่ตรงไหน หม้อลวกก๋วยเตี๋ยวอยู่ตรงไหน ฝั่งไหนที่ใช้วางน้ำสต็อก จะต้องมีช่องใส่วัตถุดิบอะไรกี่ช่อง ด้านหน้าจะต้องมีอะไรบ้าง ด้านหลังจะต้องมีอะไรบ้าง เตาผัดกะเพราควรอยู่ตรงไหน แล้วข้างบนก็ต้องมีที่ดูดควัน โดยต้องคำนวนวัดสเกลทุกอย่างให้ตรงกัน ฯลฯ เพื่อให้สะดวกในการทำงานและใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด”“ผมคิดอย่างละเอียดจนถึงขั้นลองจินตนาการ และจำลองเหตุการณ์เพื่อให้เรารู้ Traffic การทำงานว่ามันเหมาะหรือพลาดอะไรตรงไหนไปบ้างเมื่อได้แปลนมาก็รบกวนปรึกษาพี่ธามม์ให้ช่วยคอมเมนต์แล้วนำมาปรับแก้อีกที แล้วจึงค่อยสั่งผลิตตามแปลนครับ” ทรัคก๋วยเตี๋ยวสีแดงเตะตาคันใหม่ล่าสุดของซดเตี๋ยวฯ เรียกได้ว่าผ่านการคิดมาเป็นอย่างดี สามารถอำนวยความสะดวกในการทำงาน ช่วยยกระดับทั้งมาตรฐาน และประสิทธิภาพในการทำงานขึ้นได้อย่างมากมาย “ด้วยหม้อลวกก๋วยเตี๋ยว 6 หลุม ที่ควบคุมอุณหภูมิและจำกัดเวลา ภายใน 1 นาที เราสามารถลวกก๋วยเตี๋ยวในครั้งเดียวได้ถึง 6 ชาม ส่วนสำหรับเมนูกะเพรา เราก็พยายามจัดการกับพื้นที่ซึ่งจะมีการวางเครื่องปรุงแค่ พริกแห้ง ซอสกะเพรา และใบกะเพราเพียงแค่ 3 อย่างเท่านั้น ถามว่าทำไมจึงไม่มีเครื่องปรุงอย่าง กระเทียม ซีอิ๊วดำ น้ำมันหอย น้ำตาล ฯลฯ ตั้งอยู่เยอะๆ ก็เพราะพื้นที่รถที่มีอยู่อย่างจำกัด ผมจึงต้องทำทุกอย่างออกมาเป็นซอสเราก็แค่ผัดปรุงกับซอสที่คิดค้นสูตรมาเป็นอย่างดีแล้วใส่พริกกับใบกะเพราก็เรียบร้อย มันเป็นวิธีคิดแก้ปัญหาให้เราจัดการกับข้อจำกัดของพื้นที่บนรถ ทั้งยังสามารถส่งมอบอาหารรสชาติดีให้กับลูกค้าได้อีกด้วยครับ” มาตรฐานระดับ ‘มืออาชีพ’ ออกแบบการทำงานให้เป็น Flow เดียวนอกจากแปลนครัวที่คิดมาอย่างดีให้เอื้อต่ออาหารที่จะขาย และประสิทธิภาพในการทำงานแล้ว คุณสุรเดชยังบอกว่า ทรัคขายก๋วยเตี๋ยวของซดเตี๋ยวฯ ยังออกแบบมาโดยคำนึงนึงความปลอดภัยของคนทำงาน เพราะบนรถมีทั้งหม้อต้มน้ำ เตา และกระทะร้อนๆ หากมีการขยับไปมาบ่อยๆ ก็อาจจะเกิดอุบัติเหตุได้ ดังนั้น การออกแบบอย่างได้มาตรฐานจึงช่วยลดขั้นตอนการทำงานให้สั้นลง และยังช่วยในเรื่องความปลอดภัยของคนทำงานได้ด้วย มากไปกว่านั้น รถคันนี้ยังถูกคิด Flow การทำงานให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันให้มากที่สุด ตั้งแต่ลูกค้าเข้ามาสั่งอาหารก็มีระบบ POS ที่เมื่อคีย์ออร์เดอร์แล้ว บิลล์ก็จะถูกรันไปในครัว ให้พนักงานครัวสามารถทำอาหารตามรายการที่สั่งต่อได้ทันที ซึ่งเมนูทุกอย่างจะต้องผ่านการชั่งตวงวัดเพื่อให้อาหารทุกจานได้มาตรฐานเดียวกัน เมื่อทำอาหารเสร็จแล้ว พนักงานที่รับออร์เดอร์ก็จะเป็นคนตรวจทานอีกทีว่าลูกค้าได้อาหารตามรายการที่สั่งครบถ้วน เรียกได้ว่าใช้คน Operate เพียงแค่ 2 คนก็เพียงพอ เมื่อถามถึงความสำคัญของการทำระบบให้ได้มาตรฐาน เจ้าของกิจการร้านก๋วยเตี๋ยวมืออาชีพระดับแชมป์ตอบว่า “จากที่สมัยก่อนผมไม่เคยรู้เลยว่าต้องใช้น้ำอุณหภูมิเท่าไรถึงจะลวกก๋วยเตี๋ยวได้ ผมรู้แค่ว่าน้ำเดือดก็ลวกก๋วยเตี๋ยวได้แล้ว น้ำหม้อก๋วยเตี๋ยวกี่ลิตรผมก็ไม่เคยรู้ ผมรู้แค่ว่าน้ำในหม้อหมดก็คือเติม แต่หลังจากที่เข้าแข่งขัน GSB Street Food ทุกวันนี้วิสัยทัศน์ของผมเปลี่ยนไปมาก ผมต้องรู้แม้กระทั่งว่า น้ำก๋วยเตี๋ยว 1 หม้อนั้นสามารถตักทำก๋วยเตี๋ยวได้กี่ชาม ผมปรับเปลี่ยนมุมมองการทำงานใหม่ ผมได้พัฒนาตัวเองใหม่ ตั้งเป้าหมายว่าจะก้าวไปสู่การเป็นแบรนด์ซดเตี๋ยวฯ ผมอยากก้าวไปสู่การเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวข้างถนนที่ได้มาตรฐาน” “ลองนึกดูนะครับว่า ถ้าไม่มีการชั่ง ตวง วัด แล้วมีบางชามที่อาจจะได้มากได้น้อยไม่เท่ากันเราจะเช็กสต็อกของและต้นทุนที่ควรจะเป็นได้อย่างไร บางทีถ้าคนรู้จักมาทานก็อาจจะให้เขาเยอะๆ ก็ไม่เป็นธรรมกับลูกค้าท่านอื่นๆ การที่เราสร้างมาตรฐานเช่นนี้ นอกจากรสชาติและปริมาณของอาหารทุกชามจะเป็นมาตรฐานเดียวกันซึ่งเป็นการให้ความเป็นธรรมกับลูกค้าทุกท่านแล้ว ยังช่วยให้เราดูแลบริหารต้นทุนได้ อย่างโปร่งใสและมีประสิทธิภาพอีกด้วย” “นอกจากนี้ระบบยังช่วยลดความผิดพลาดในการทำงาน และยังช่วยในเรื่องของการเติบโตของกิจการ ซึ่งการที่เราทำฟู้ดทรัคให้มีระบบมาตรฐาน พอลูกค้าเขาเห็น ก็จะทำให้ลูกค้ารู้สึกถึงมาตรฐานความสะอาดและความปลอดภัย ซึ่งลูกค้าหลายๆ ท่านก็ยอมที่จะจ่ายเงินมากกว่าเพื่อความเหมาะสมของสิ่งที่ได้รับตรงนี้ ที่สำคัญอีกอย่างคือ ถ้าเราวางระบบและมาตรฐานเอาไว้หมดแล้ว มันก็ง่ายกับการที่ใครจะเข้ามาทำก็ได้ เพราะเรามีสิ่งที่ต้องการให้พนักงานดำเนินการตามเอาไว้หมดแล้ว ซึ่งแม้กระทั่งคนที่ทำอาหารไม่เป็นก็ยังสามารถที่จะ Follow ได้อย่างง่ายๆ ดังนั้นเวลาที่เราจะขยายกิจการ มันก็จะง่ายและได้มาตรฐานเดียวกันทั้งหมด ไม่ว่าคุณจะขยายเพิ่มอีกกี่สาขาก็ตาม” ออกแบบระบบมาดีจนปัง ยังไม่ทันเปิดขายแฟรนไชส์ก็มีคนติดต่อเข้ามาเยอะมาก “ตั้งแต่เปิดตัวรถคันนี้เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม ที่ผ่านมา ผลประกอบการของเราก็ดีขึ้นในระดับหนึ่ง แต่น่าเสียดายที่ผลกระทบจากโควิด-19 ระบาดรอบสองซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม ทำให้งาน Event ที่เคยเหมาจ้างทรัคของเราหายไป แต่ก็น่าดีใจที่มีคนสนใจที่ต้องการที่จะเปิดซดเตี๋ยวฯ Food Truck ติดต่อกันเข้ามามาเยอะมากเป็นร้อยเลยนะครับ แต่ตอนนี้ยังต้องบอกว่าเรายังอยู่ในช่วงของการรันเทสต์ระบบ ซึ่งหากพบข้อผิดพลาดอะไรก็จะปรับแก้ให้ดีเสียก่อน เพราะเราต้องการให้ระบบที่ออกไปนี้สมบูรณ์และมีปัญหาน้อยที่สุด สำหรับลูกค้าที่มาซื้อแฟรนไชส์ เราอยากจะให้มันตอบโจทย์ความสำเร็จของเจ้าของธุรกิจเพราะอะไรที่มันง่ายและชัดเจนก็จะสามารถตรวจสอบได้ตลอดอย่างระบบ POS (Point of sale system) ที่สามารถตรวจเช็ก ตรวจสอบ สรุปยอดให้ได้ตลอดเวลา เราก็ยังมีกล้องวงจรปิดอยู่บนรถอีกถึง 2 ตัว นั่นแสดงว่าคุณสามารถตรวจสอบการทำงานของพนักงานบนรถได้อย่าง Real Time ได้เลย ดังนั้นไม่ว่าคุณจะอยู่ไหนบนโลกใบนี้ ขอแค่มีอินเทอร์เน็ตคุณก็สามารถตรวจสอบดูแลกิจการของตัวเองได้” ที่กล่าวมาทั้งหมดคือทุกซอกทุกมุมและข้อดีของ Food Truck ระดับแชมป์ อย่าง ‘ซดเตี๋ยวเป็ดพะโล้’ ซึ่งหากใครที่สนใจแฟรนไชส์ฟู้ดทรัคของซดเตี๋ยวนั้น คุณสุรเดชบอกว่าน่าจะใช้เงินทุนอยู่ที่ราวๆ 600,000 - 700,000 บาทโดยประมาณ ซึ่งในงบประมาณจำนวนนี้จะได้รับทั้ง รถ ทะเบียนรถ สูตรอาหาร และระบบการจัดการทั้งหมดไป และแม้ว่าจะมีผู้สนใจติดต่อกันแข้ามาซื้อแฟรนไชส์เยอะมาก แต่ทางซดเตี๋ยวก็ยังอยากใช้เวลาเทสต์รันปรับปรุงระบบก่อนที่จะขายแฟรนไชส์จริงในช่วงกลางปีนี้ ซึ่งเมื่อเวลานั้นมาถึงรายได้จากการขายแฟรนไชน์ ก็จะทำให้กลายเป็นแบรนด์ก๋วยเตี๋ยวเงินล้านแน่นอน หากใครที่สนใจซื้อแฟรนไชส์ก็สามารถติดต่อทางซดเตี๋ยวฯ เข้าไปได้ นับเป็นตัวอย่างที่ดีของฟู้ดทรัคที่ได้มาตรฐานระดับมืออาชีพและเป็นความก้าวหน้าของกิจการ Street Food ที่ยกระดับขึ้นมาได้อย่างน่าชื่นชมมากจริงๆ
Learn moreร้านเล็กก็สำเร็จได้! สรุป 7 บทเรียนจาก Street Food แบรนด์ใหญ่ ที่ร้านเล็กนำไปปรับใช้ได้จริง
สำหรับผู้ประกอบการร้านอาหารหลายๆ ท่าน โดยเฉพาะกับร้าน Street Food หรือร้านเล็กๆ เมื่อดำเนินธุรกิจมาจนถึงจุดหนึ่ง ก็ต้องการจะก้าวต่อไปข้างหน้าขยายกิจการนั้น อาจมีคำถามว่าควรจะต้องทำอย่างไรดี คำตอบที่สำคัญคือ การพัฒนา ‘ระบบ’ และ ‘มาตรฐาน’ ย่อมเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำพาธุรกิจของเราไปสู่ความสำเร็จ ว่าแต่ทั้ง ‘ระบบ’ และ ‘มาตรฐาน’ มีความสำคัญอย่างไร และจะสร้างทั้งสองสิ่งนี้ขึ้นมาได้อย่างไร วันนี้ MHA อาสาพาทุกคนไปพูดคุยกับ ‘คุณธามม์ - ประวัติตรี’ กูรูนักธุรกิจผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการธุรกิจร้านอาหาร ผู้เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ยาวนานกว่า 25 ปี ปัจจุบันคุณธามม์ยังเป็นทั้งวิทยากร และเจ้าของแบรนด์สตรีทฟู้ดมาตรฐานสากลอย่าง Plara Der (ปลาร้าเด้อ) ที่ใครหลายๆ คนติดใจในรสชาติ รวมถึงแบรนด์ ‘Pad Thai’ ซึ่งกำลังเติบโตขยายสาขานับ 10 แห่ง ณ ประเทศเนเธอร์แลนด์ ‘คุณธามม์ - ประวัติตรี’ กูรูนักธุรกิจ และวิทยากร ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการธุรกิจร้านอาหาร เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ยาวนานกว่า 25 ปี 1.‘ความเป็นเลิศด้านระบบปฏิบัติการ’ หัวใจหลักที่ทำให้ Chain Restaurant ประสบความสำเร็จ ก่อนจะมาเปิดแบรนด์ร้านอาหารของตัวเองนั้น คุณธามม์เคยทำงานภายใต้เครือร้านอาหารระดับโลกอย่าง The Minor Food Group และ Blue Elephant เขาเคยมีส่วนร่วมดูแลแบรนด์ดังๆ อย่าง KFC, YUM, Thai Express, Pizza Hut, The Pizza Company, Burger King, Sizzler และอื่นๆ อีกมากมาย การได้ร่วมงานกับบริษัทยักษ์ใหญ่ และแบรนด์ชั้นนำเหล่านี้ ทำให้คุณธามม์มีโอกาสได้เห็นว่ าสิ่งที่ธุรกิจร้านอาหารซึ่งเป็น Chain Restaurant ที่ประสบความสำเร็จระดับโลกเหล่านี้ล้วนมีเหมือนกันก็คือ‘ระบบปฏิบัติการอันเป็นเลิศ’ หรือ ‘Operation Excellent ’ “สิ่งที่ทำให้ธุรกิจอาหารแบรนด์ใหญ่เหล่านี้ประสบความสำเร็จจนเปิดสาขาได้เป็นพันๆ สาขาได้นั้น มี องค์ประกอบที่สำคัญคือ ‘ระบบ’ กับ ‘มาตรฐาน’ และ ‘ระบบปฏิบัติการอันเป็นเลิศ’ ซึ่งนี่แหล่ะครับ คือ DNA ที่จะทำให้การทำธุรกิจอาหารประสบได้ความสำเร็จอย่างยั่งยืน” เพื่อพิสูจน์ถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้มาระหว่างทำงานให้กับแบรนด์ใหญ่ๆ มาตลอดระยะเวลาหลายสิบปี ก่อนที่คุณธามม์จะตัดสินใจจะออกจาก The Minor Food Group เขาจึงได้ทดลองเปิดแบรนด์ ‘ปลาร้าเด้อ’ ขึ้นมา“ผมเริ่มตั้งแต่การพัฒนาสูตร Recipe ทำ Costing และทำ SOP (Standard Operating Procedure = มาตรฐานการปฏิบัติงาน) แล้วก็มี Training Roadmap สอนให้พนักงานทำส้มตำ น้ำปลาร้า ไส้กรอก หมักคอหมูย่าง หมักไก่ ทำแกงหน่อไม้ ฯลฯ พอทำไปได้สักพักประมาณ 2 เดือน ผมก็ย้ายไปอยู่ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ เพื่อทำแบรนด์ ‘Pad Thai’ ผลปรากฎว่าธุรกิจของเราทั้ง 2 อย่างสามารถรันได้เป็นอย่างดี เป็นการพิสูจน์ว่า จริง ๆ แล้วถ้าเรามีระบบที่ดี ก็สามารถทำได้เหมือนกับแบรนด์ใหญ่ๆ ที่ประสบความสำเร็จ” ‘มาตรฐาน’ และ ‘ระบบ’มีประโยชน์อย่างไร? คุณธามม์อธิบายให้ฟังว่า ปัญหาของการทำร้านอาหารส่วนใหญ่ คือ เรื่องคุณภาพ เพราะว่าคนเรานั้นมีความขึ้นลงตามอารมณ์ ถ้าอารมณ์ดีก็ทำได้ดี แต่เมื่อไหร่ที่อารมณ์แปรปรวนไปก็จะได้ผลลัพธ์อีกแบบ ซึ่งทำให้อาหารและการบริการได้รับผลกระทบ “อย่างแรกเลย คือ มาตรฐานจะช่วยทำให้รสชาติและคุณภาพของอาหารเสมอต้นเสมอปลาย ลูกค้ามากินเมื่อไหร่ก็เหมือนเดิม ทั้งในแง่ของคุณภาพ รสชาติ ปริมาณ และบริการ เช่น เสิร์ฟไก่กี่ชิ้น จัดวางแบบไหน ถ้าจะเอียงซ้ายก็เอียงซ้ายตลอด คือลูกค้าได้อาหารตรงปก ไม่ใช่ว่าในรูปเป็นอีกแบบหนึ่งแล้วของจริงกลับเป็นอีกแบบ และก็ที่สำคัญอีกอย่างก็คือ ใครก็สามารถทำได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นเชฟมืออาชีพเลยด้วยซ้ำ เพราะเรามีทั้ง Recipe มี SOP และ Training Roadmap เอาไว้หมดแล้ว นอกจากนี้ยังทำให้เราขยายกิจการเปิดสาขาได้เร็วอีกด้วย แต่ถ้าเราไม่มีระบบเหล่านี้มาคอยควบคุมมาตรฐาน การขยายกิจการก็จะทำได้ลำบาก นี่คือสิ่งสำคัญที่ผมได้เรียนรู้จากการทำงานกับแบรนด์ใหญ่ๆ และนำมาปรับใช้” 3.หา Hero Product ของคุณให้เจอ บางร้านอาจจะคิดว่า การมีเมนูหลายๆ อย่างเพื่อเป็นตัวเลือกให้กับลูกค้าเป็นเรื่องที่ดี แต่คุณธามม์ กลับบอกว่าการมี Single Product ซึ่งเป็น Hero Product หรือเป็นจุดขาย จะช่วยให้จัดการได้ง่าย และขายง่าย Hero Product จึงเป็นสิ่งสำคัญที่หากจะเป็น Chain Restaurant ซึ่งต้องการขยายธุรกิจควรหาให้เจอ“ยกตัวอย่าง Hero Product ของ KFC ก็คือไก่ทอด ส่วน McDonald ก็เป็นเบอร์เกอร์ ผมนำวิธีคิดแบบนี้มาปรับใช้กับร้าน Pad Thai ซึ่งเปิดอยู่ที่เนเธอร์แลนด์ เราเน้นขายผัดไทยเป็นหลัก แต่ก็มีเมนูรองอื่นๆ ด้วย อย่าง แกงเขียวหวาน แกงมัสมั่น และอาหารทานเล่นอื่นๆ แต่สินค้าที่เป็น Hero Product ก็ยังคงเป็นผัดไทยสูตรต้นตำรับ ซึ่งเราผัดกับกระทะแบนเพื่อให้ง่ายต่อการจัดการ แต่ก็ยังได้รสชาติดั้งเดิมในแบบของไทยอยู่ คือผัดไทยนั้นเป็นอาหารที่คนไทยอาจคิดว่าธรรมดาข้างถนน และพอมาถึงเมืองนอกนี่มันกลายเป็นอาหารไทยที่ใครๆ ก็รู้จัก ผมก็เลยเกิดความคิดที่ว่าผมอยากทำให้ Street Food ของไทยอย่างผัดไทย ก็สามารถเป็นฟาสต์ฟู้ดที่ได้รับความนิยม และมีมาตรฐานได้เหมือนกัน ซึ่งการเซ็ตระบบสร้างมาตรฐานของแบรนด์ผัดไทยขึ้นมา ก็ทำให้กิจการของผมในเนเธอร์แลนด์ประสบความสำเร็จขยายได้หลายสาขา” ระบบ 3 ส่วนที่สำคัญภายในร้านอาหาร เมื่อพูดถึง ‘ระบบที่สำคัญภายในร้านอาหาร’ กูรูผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการร้านอาหารยังบอกอีกว่า เราสามารถที่จะแบ่งออกได้เป็น 3 ส่วน ได้แก่ 1) ระบบภายในครัว 2) ระบบงานบริการ 3)ระบบงานบริหารจัดการ “ระบบคือสิ่งที่เราทดลอง ปรับเปลี่ยน ทำมานานจนเกิดเป็นความชำนาญ เชี่ยวชาญ และปฏิบัติกันจนได้ผลพิสูจน์แล้วว่าทำแบบนี้แหล่ะคือดีที่สุด ก็จะพัฒนาจนกลายมาเป็นระบบ ซึ่ง ‘ระบบภายในครัว’ ก็จะส่งผลต่อคุณภาพของอาหาร ทำให้อาหารมีคุณภาพเสมอต้นเสมอปลาย ลดการสูญเสีย มีรสชาติที่อร่อย ฯลฯ ส่วน ‘ระบบของการบริการ’ ก็เป็นรื่องของการสอนพนักงานว่า จะบริการลูกค้าแบบไหน มีรายละเอียดขั้นตอนอย่างไร เช่น เมื่อลูกค้ามาถึงต้องยิ้มทักทาย รับออร์เดอร์ ให้ลูกค้ารอ การเอาของใส่ให้ลูกค้ามีขั้นตอนต้องทำอย่างไร ฯลฯ ซึ่งเมื่อเรามีร้านหลายๆ ร้านสิ่งต่างๆ ที่ทำเหมือนกันเหล่านี้ก็จะเป็นระบบที่สร้าง Standard รวมไปถึง ‘ระบบงานแอดมินหรืองานบริหารจัดการภายในร้าน’ อย่าง การตลาด การเงิน บัญชี ฯลฯ อะไรพวกนี้ด้วย ซึ่งจะช่วยให้แต่ละสาขาดำเนินกิจการได้อย่างราบรื่น และช่วยให้เราดูแลกิจการได้ง่ายขึ้นด้วย” ถ้าอยากยกระดับทำให้ Street Food ดีขึ้น เริ่มต้นได้ด้วยการทำ ‘Food Hygiene’ ในแง่ของอาหารสตรีทฟู้ด หากต้องการที่จะยกระดับเพิ่มยอดขายอาหารข้างทางโดยประยุกต์ใช้แนวคิดของแบรนด์ใหญ่มาใช้นั้นจะทำได้อย่างไร และควรจะเริ่มต้นที่ตรงไหน -- กูรูร้านอาหารอย่างคุณธามม์ให้คำตอบว่า ‘ความสะอาด’ ถือเป็นตัวแปรที่สำคัญเป็นอันดับแรก “ไม่ว่าจะเป็นการอัพเกรด อัพสเกล หรือ อัพเซลล์ให้ขายดีขึ้น ผมคิดว่าเรื่องของ ‘Food Hygiene’ ทั้งความสะอาดของอาหาร และความสะอาดของมาตรฐานการทำงาน น่าจะเป็นตัวแปรที่มีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมาก ที่จะทำให้อาหารและภาพลักษณ์ของร้านดูดี รวมถึงช่วยให้ขายได้ในราคาดีขึ้น สมมติว่า ร้านน้ำเต้าฮวยป้าสมศรีที่ขายอยู่ข้างถนนอยากจะยกระดับทำให้ดีขึ้น ก็อาจจะเริ่มต้นที่ยูนิฟอร์มที่ดูสะอาด เก็บผมเผ้าให้เรียบร้อย คนขายผ่านการอบรมเรื่อง Food Hygiene มาให้รู้วิธีการสัมผัสอาหารว่าอันไหนที่เสี่ยง อันไหนที่ไม่ดี ควรทำ หรือไม่ควรทำ เมื่อเป็นอาหารข้างถนนที่ดูแล้วปลอดภัย แน่นอนว่าลูกค้าย่อมจะยอมเสียเงินมากขึ้นอีกนิด เพื่อจะซื้อสินค้าของเรา” 6.เมื่อสร้างระบบและมาตรฐานได้ ก็จะกลายเป็น ‘Branding’ คุณธามม์ยังชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของระบบ และมาตรฐาน ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ดำเนินการและขยายกิจการได้โดยง่ายขึ้นแล้ว ยังมีส่วนสำคัญในการสร้างการจดจำ หรือสร้าง ‘แบรนดิ้ง’ ขึ้นได้อีกด้วย“ไม่ว่าจะเป็นโลโก้ของร้าน ชุดพนักงาน การตกแต่งภายในร้าน ฯลฯ ไปจนถึงขั้นตอนและวิธีการให้บริการ เช่น ถ้าเราพูด สวัสดีและขอบคุณลูกค้าเหมือนกัน มีเมนูที่ใส่ถ้วยใส่จานชามเหมือนกัน ฯลฯ ถ้าทำทุกอย่างอยู่บ่อยๆ ซ้ำๆ เหมือนๆ กัน สิ่งต่างๆ ก็จะถูกกำหนดให้เป็นมาตรฐาน และจะรวมกันกลายเป็นแบรนด์ของเราซึ่งลูกค้าจดจำได้ นี่เป็นเหตุผลที่เวลาผมจะทำร้านอาหารอะไรออกมาสักร้าน ไม่ว่าจะเป็นปลาร้าเด้อ หรือร้าน Pad Thai ก็จะต้องคิดคอนเซ็ปต์และทำ Brand Book ออกมาก่อน เราจะใช้เวลาในขั้นตอนการคิดเรื่อง Branding และระบบออกมาก่อนให้มากๆ จนชัดเจน แล้วจึงค่อยลงมือทำเทรนนิ่งการทำงานเพื่อเซ็ตระบบต่างๆ ของร้านตามคอนเซ็ปต์ที่วางเอาไว้” 7.ขนาดไม่สำคัญ แต่สำคัญที่ความตั้งใจ สิ่งที่คุณธามม์อยากจะฝากถึงผู้ประกอบการ ซึ่งเป็น Street Food หรือร้านอาหารเล็กๆ ที่ต้องการจะยกระดับให้ได้มาตรฐาน คือเน้นย้ำว่าไม่ต้องไปมองว่าร้านของเราจะเล็กหรือใหญ่ “ขนาดไม่สำคัญ แต่สำคัญที่ความตั้งใจ ที่ต้องการจะทำให้มีระบบและมีมาตรฐาน เพราะระบบนี่แหล่ะคือหัวใจสำคัญที่จะทำให้เราสามารถพัฒนาธุรกิจของเราให้ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนได้ คนไทยเรามีฝีมือในการทำอาหาร ก็เลยเกิด Street Food สารพัดคอนเซ็ปต์ออกมามากมาย พอขายดิบขายดีไปได้สักพักหนึ่งก็แน่นอนว่าต้องมีการปรับปรุงคุณภาพมาตรฐานให้คงที่เสมอต้นเสมอปลาย เพราะว่าจุดอ่อนของ Street Food คือ ถ้าเจ้าของร้านทำเองแล้วเราหยุดขายนี่เราก็จะไม่มีรายได้ใช่ไหมครับ เนื่องจากไม่มีคนทำแทนดังนั้นไม่ว่าคุณจะเป็นรถเข็นขายอาหาร จะเป็น Food Truck หรือจะเป็นร้านข้าวแกงตึกแถว หรือเป็นร้านใหญ่ๆ ระบบก็ยังเป็นสิ่งสำคัญ หากเราไม่ให้ความสำคัญกับระบบ ก็จะทำให้เราเหนื่อยและไม่สนุกที่จะทำ เพราะในที่สุดเราก็จะต้องกลับมาคอยแก้ไขปัญหาเดิมๆ ซ้ำๆ” “จริงๆ แล้วการทำระบบมันไม่ได้ยากนะครับ แต่ก็ไม่ได้ง่าย มันต้องใช้ระยะเวลาในการทดสอบ ปรับเปลี่ยน แล้วก็ต้องมีวินัย ต้องนำมาใช้งานจริงๆ ถ้าไม่มีระบบทุกสิ่งทุกอย่างมันก็จบนะที่รุ่นเรา หรือที่รุ่นลูกหลานที่สืบทอด ระบบนั้นไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่มากนะครับ เป็นแค่ระบบเล็กๆ ก็ได้ ที่จะทำให้เรามั่นใจได้ว่าสิ่งที่เราทำอยู่นั้นได้มาตรฐานทุกครั้ง หรือถ้าเราไม่อยู่แล้วมีคนมาทำแทนก็ยังได้มาตรฐานอยู่ตลอด และก็ไม่ต้องกลัวนะครับว่าถ้าทำระบบไปแล้วจะมีคนมาลอกเลียนแบบ เพราะถึงเราไม่ได้เขียนอะไรเอาไว้ คนที่เขามาทำงานกับเราทุกวัน เขาก็จำได้อยู่ดี” “ผมอยากจะให้ทุกคนเห็นถึงความสำคัญของระบบ และการพัฒนาคน พัฒนาทีมงาน ซึ่งจะช่วยทำให้ธุรกิจเรานั้นเดินไปข้างหน้าได้อย่างต่อเนื่อง และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน”คลิกอ่านบทสัมภาษณ์ที่น่าสนใจ “ซดเตี๋ยวเป็ดพะโล้” ก๋วยเตี๋ยวเป็ดริมทาง พลิกชีวิตสู่แชมป์ Street Food ระดับประเทศ! พลิกตำรารับสถานการณ์ฉุกเฉินด้วยอาหาร Frozen ส่งทั่วไทยที่สร้างรายได้หลักแสน พลิกร้านอาหารกำไรน้อย ให้ได้กำไรเพิ่ม! กับเจ้หมึก เจ้าของร้าน ล้มยักษ์ เพชรบุรี ซอย 5 เริ่มต้นคำละ 11 บาท ปั้นธุรกิจซูชิแตะ 500 ล้านบาท หมัดเด็ดสร้างแบรนด์ Shinkanzen Sushi ของหนุ่มวัย 27 ปี บุญนำพา บริการจัดงานบุญถึงบ้าน แชร์ประสบการณ์ 7 ปี ร้านอาหารอยากทำจัดเลี้ยงต้องอ่าน!
Learn moreประหยัดต้นทุนและเวลา ช้อปแบบไร้รอยต่อ เพื่อแก้ปัญหาผู้ประกอบการ ด้วย MakroClick
ในการดำเนินกิจการร้านอาหารในแต่ละวันนั้น ทั้งผู้ประกอบการและบุคลากรของร้านอาหารล้วนมีหลายสิ่งหลายอย่างให้ต้องคิด คอยดูแล จัดการและลงมือทำ จริงอยู่ที่ทุกคนย่อมอยากจะพัฒนาคุณภาพอาหารและบริการของเราให้ดี รวมถึงคิดต่อยอดให้กิจการของเราประสบความสำเร็จ แต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว หลายคนกลับพบปัญหาอย่างเดียวกันว่า “เวลาที่มีแทบไม่พอเอาเสียเลย” ด้วยความที่เพื่อนคู่คิดของผู้ประกอบการอย่าง Makro นั้นต้องการจะคอยช่วยเหลือสนับสนุนผู้ประกอบการ จึงได้สังเกตเห็นถึง ‘Pain Point’ ที่สำคัญตรงจุดนี้ จึงได้ให้กำเนิด www.makroclick.com และ Makro Application ซึ่งเป็นช้อปปิ้งออนไลน์แพลตฟอร์ม ที่จะคอยช่วยเหลือลูกค้า มาถึงตรงนี้ผู้ประกอบการหลายๆ ท่านน่าจะอยากทราบกันแล้วว่าร้านของคุณจะสามารถได้ประโยชน์อะไรจากแพลตฟอร์มดังกล่าว สำหรับประเด็นนี้ ‘คุณจักรกฤษณ์ จตุปัญญาโชติกุล ผู้อำนวยการฝ่ายอีคอมเมิร์ซ บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) ผู้บริหาร Makro Click คือผู้ที่จะมาเล่าให้เราฟังถึงความเป็นมา และประโยชน์ที่ผู้ประกอบการจะได้รับจากแพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์สำหรับผู้ประกอบการร้านอาหารนี้ ต้นทุนเวลา ปัญหาสำคัญ ‘Pain Point ’ ของผู้ประกอบการ“Makro นั้นเกิดมาได้กว่า 30 ปีแล้ว แต่ Makro Click นั้นเป็นช่องทาง E-Commerce ที่เราเริ่มดำเนินการมาได้เพียง 5 ปีเท่านั้น แม็คโครคลิกเกิดจาก Pain Point ของลูกค้า ซึ่งผู้ประกอบการร้านอาหารส่วนใหญ่มักจะประสบปัญหาคล้ายๆ กัน นั่นก็คือ ปัญหาในเรื่องของการดูแลต้นทุน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของต้นทุนการทำอาหาร หรือต้นทุนเวลา คืออย่างหลายๆ ร้านเวลาจะซื้อของเข้าร้านสักที ก็อาจจะต้องตระเวนไปหลายๆ แห่ง ซึ่งทำให้เสียเวลาไปไม่น้อย และเวลานั้นถือเป็นสิ่งที่มีค่ามากสำหรับผู้ประกอบการ เพราะเราสามารถนำไปใช้จัดการสิ่งต่างๆ ที่สำคัญอื่นๆ ซึ่งร้านอาหารบางแห่งเขาอาจจะมีกันอยู่ไม่กี่คน กว่าจะขับรถไปซื้อของก็เสียทั้งเวลาและกำลังบุคลากร ต้นทุนเวลาที่เสียไปตรงนี้จึงถือว่าเป็น Pain Point ที่สำคัญของผู้ประกอบการแทบจะทั้งหมดเลยก็ว่าได้ครับ” “แม็คโครเราจึงต้องการที่จะทำหน้าที่ช่วยซัพพอร์ทให้ผู้ประกอบการสามารถที่จะลดต้นทุน และประหยัดเวลา โดยเพิ่มความสะดวก เพิ่มช่องทางที่เป็น ‘Omni Channel’ ให้มีหลากหลายช่องทางมากขึ้น ทั้งช่องทางการสื่อสารและบริการลูกค้าที่หลากหลายและเชื่อมโยงกันให้เป็นหนึ่งเดียว เพื่อที่จะตอบสนองความต้องการ และเป็นโซลูชั่นที่จะช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้กับลูกค้าของเรา ซึ่งเป็นผู้ประกอบการร้านอาหารได้ครับ” ช้อปง่าย ของครบ เพราะมีสินค้ามากถึงกว่า 17,000 รายการ ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำของการทำกิจการร้านอาหาร ทั้งยังจำแนกหมวดหมู่สินค้า และหมวดหมู่ธุรกิจให้หาง่าย ช้อปง่าย ของครบ พร้อมบริการดี ช้อปได้อย่างง่ายๆ เพราะมีหลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะช้อปที่สาขา โทรสั่ง หรือช้อปออนไลน์ผ่าน www.makroclick.com ก็ได้ เรียกได้ว่าสะดวกช่องทางไหนก็ใช้ช่องทางนั้น ของครบ เพราะมีสินค้ามากถึง 17,000 รายการ มีตั้งแต่วัตถุดิบอาหารสด ทั้งผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ต่างๆ ซึ่งสามารถสั่งชั่งน้ำหนักตามจริงให้ได้ปริมาณตามที่ลูกค้าต้องการ วัตถุดิบที่ตัดแต่งเตรียมไว้บางส่วนแล้ว พร้อมให้นำไปปรุงได้ทันทีเพื่อช่วยประหยัดแรงและเวลาของผู้ประกอบการ มีทั้งเครื่องปรุงและ Packaging ฯลฯ มีสินค้าตั้งแต่ต้นน้ำยันไปจนถึงปลายน้ำของการทำกิจการ เรียกได้ว่าครอบคลุมทุกความต้องการของผู้ประกอบการร้านอาหารได้อย่างดี บริการที่ดี เพราะมีทีมงานซึ่งทำหน้าที่เป็น Personal Shopper ทำหน้าที่คอยเลือกสินค้าแทนลูกค้า จึงมั่นใจได้ในเรื่องคุณภาพ ทั้งยังสามารถจัดเตรียมของและนำส่งให้ถึงที่ร้านได้ทั้งแบบสั่งล่วงหน้า หรือแบบให้ส่งด่วน (Express Delivery) ไปยังที่ร้านทันทีก็สามารถทำได้ นอกจากนี้ยังมีระบบการบริหารจัดการดูแลลูกค้าที่ดี มีฐานข้อมูลของผู้ประกอบการร้านอาหาร มีทั้งประวัติรายการสินค้าที่ทางร้านใช้อยู่เป็นประจำ จึงง่ายต่อทั้งการจัดเตรียมสินค้าและจัดส่งไปตามที่อยู่ของร้าน ตอบโจทย์ทั้งร้าน Dine In และร้านที่มุ่ง Delivery ด้วยถือกำเนิดมาเพื่อที่จะตอบโจทย์ของผู้ประกอบการโดยเฉพาะ เมื่อเทรนด์ Food Delivery กำลังมาแรง แน่นอนว่า Makro Click ย่อมมีสินค้าที่เกี่ยวกับเดลิเวอร์รี่จัดเตรียมไว้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นบรรจุภัณฑ์ต่างๆ อุปกรณ์ต่างที่ใช้ในการเตรียมทำเดลิเวอรี่ วัตถุดิบต่างๆ ที่ตัดแต่งเตรียมเอาไว้บางส่วนแล้วเพื่อให้ลูกค้าสามารถนำไปประกอบอาหารต่อได้ทันที ซึ่งสามารถช่วยประหยัดทั้งแรงงาน การจัดการในครัว แถมยังช่วยประหยัดเวลาได้มากอีกด้วย ไปจนถึงเครื่องปรุงสำเร็จรูปอย่าง พริก น้